ถ้าให้เอ่ยชื่อแบรนด์ผลิตภัณฑ์ด้านเส้นผมที่เราเคยใช้ หรือเห็นผ่านตาตามห้างร้านต่างๆ หลายคนก็อาจเข้าใจว่าอิมพอร์ตมาจากต่างประเทศ แต่ความจริงแล้วมีหลายแบรนด์ที่พัฒนาขึ้นมาจากฝีมือคนไทย และมีคุณภาพไม่แพ้แบรนด์ต่างประเทศเลยทีเดียว หนึ่งในนั้นก็คือ NIGAO แบรนด์แห่งความงามบนเรือนผมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมญี่ปุ่น ก่อตั้งโดย “คุณอั๋น ภูริวัฒน์ เขียนขำ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้สร้างแรงบันดาลใจในความงาม บริษัท บิวตี้ เบลนด์ จำกัด (Beauty Blend Co., Ltd.) ซึ่ง Hairworld Plus+ ฉบับนี้มีโอกาสพิเศษ ได้ไปเจาะลึกชีวิต พร้อมแนวคิดและสไตล์การบริหารงานของคุณอั๋น ภูริวัฒน์ จากคนที่ไม่เคยมีความรู้ด้านการตลาด และผ่านความผิดพลาดมาหลายครั้ง แล้วอะไรที่ทำให้สามารถนำพาสินค้าของแบรนด์ขึ้นมาอยู่แถวหน้าในวงการเสริมสวยได้สำเร็จ มาหาคำตอบพร้อมๆ กัน
ชีวิตวัยเด็ก กับช่วงเวลาที่ครอบครัวเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่
ผมเติบโตมาในครอบครัวที่ทำธุรกิจด้านเสริมสวย คุณแม่เป็นช่างผมและเป็นอาจารย์สอนทำผมในสถาบันที่มีชื่อเสียง จนมาก่อตั้งโรงเรียนเป็นของตัวเอง แต่มีช่วงหนึ่งที่มีปัญหากับหุ้นส่วนทำให้ต้องเสียกิจการนั้นไป แต่คุณแม่เป็นคนสู้ชีวิต จึงได้ก่อตั้งโรงเรียนขึ้นมาใหม่ ใช้ชื่อโรงเรียนเสริมสวยอาจารย์ทรัพย์ ซึ่งในยุคนั้นถือว่าประสบความสำเร็จ มีนักเรียนเรียนจบปีละ 200-300 คน แต่พอยุคสมัยเปลี่ยน และคุณแม่อายุมากขึ้นก็ได้เลิกทำโรงเรียนเสริมสวย แต่ยังเปิดร้านทำผม มีพี่ชายคนโตรับช่วงกิจการต่อจากคุณแม่ ซึ่งในช่วงที่คุณแม่ประสบปัญหาเรื่องธุรกิจโรงเรียนเสริมสวย ถือว่าเป็นวิกฤตของครอบครัวอย่างมาก ลูกๆ ทุกคนก็ต้องหางานทำ ตัวผมเองตอนนั้นยังเรียนหนังสืออยู่ก็เริ่มทำงานเล็กๆ น้อยๆ ทั้งเล่นดนตรี วาดภาพล้อเลียน ทำงานเบื้องหลังละครเวที เงินที่ได้มาก็ไม่ได้มากมายอะไร แต่เป็นการช่วยแบ่งเบาภาระทางบ้าน
สิ่งที่จุดประกายให้เปลี่ยนแปลงตัวเอง
ผมทำงานในสายศิลปะ ทั้งเล่นดนตรี ทำงานละครเวที มาตลอด แต่มีอยู่วันหนึ่งผมกำลังจะออกไปเล่นดนตรีกับเพื่อนๆ แล้วเห็นคุณพ่อกับคุณแม่ซึ่งในวัยนั้นก็อายุมากแล้ว ภาพนั้นทำให้ผมสะท้อนใจว่าทำไมคุณพ่อคุณแม่ดูแก่จัง แล้วก็กลับมามองตัวเองว่าเรายังใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานอยู่เลย แล้วเราจะเป็นอย่างนี้ต่อไปเหรอ? จะเล่นดนตรีต่อไปเหรอ? แล้วเราจะดูแลคนในบ้านยังไง? เลยทำให้ตัดสินใจลองไปทำงานออฟฟิศ น่าจะมีอนาคตกว่าการที่เรายังทำงานแบบนี้อยู่ เลยเข้าสู่ระบบการทำงานเหมือนกับคนทั่วไป ที่เริ่มจากเป็นลูกจ้าง
เริ่มต้นชีวิตการทำงาน เรียนรู้จากการลองผิดลองถูก
ช่วงที่เป็นลูกจ้างก็ได้ประสบการณ์มากเลยนะครับ จากคนที่ไม่เคยทำงานออฟฟิศ ใช้คอมพิวเตอร์ไม่เป็นเลย ก็ได้ไปเรียนรู้ ได้รู้ระบบการทำงานต่างๆ และในช่วงนั้นก็ค้าขายเสื้อผ้าไปด้วย อย่างที่บอกว่ามีงานอะไรที่ได้เงินก็ทำหมด ทั้งไปเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านอาหารช่วงกลางคืนหลังเลิกงาน ก็ทำไปจนร่างกายเริ่มไม่ไหวเพราะเลิกงานดึก เลยเปลี่ยนมาหาเช่าร้านเปิดร้านอาหาร เปิดร้านขายเสื้อผ้ามือสอง ช่วงนั้นเริ่มสนุกกับงานค้าขายแล้ว แต่ถามว่าประสบความสำเร็จไหม ก็ไม่เลย เพราะเหมือนกับเราได้ไปเรียนรู้ ลองผิดลองถูกกับการทำงานหลายๆ อย่างมากกว่า
เข้าสู่เส้นทางธุรกิจเสริมสวย
วันหนึ่งผมเริ่มรู้สึกอิ่มตัวกับการทำงานประจำ เลยตัดสินใจลาออกมาเปิดร้านขายเสื้อผ้าที่สวนลุมไนท์บาร์ซาร์ แต่ช่วงนั้นเศรษฐกิจไม่ดี ไม่มีลูกค้าเลย ทำให้ต้องเลิกทำร้านไป และพอดีกับที่มีคนรู้จักชวนไปเล่นการเมืองท้องถิ่น แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จอีก จนมีวันหนึ่งต้องเรียกว่าเป็นจังหวะชีวิต มีคนรู้จัก เป็นผู้มีพระคุณคนหนึ่งในชีวิต ทำสินค้าตัวหนึ่งมา ที่เกี่ยวกับวงการเสริมสวยเลย เขาอยากให้เข้าไปบริหารสินค้า ก็เลยเป็นครั้งแรกที่ผมเข้ามาสู่วงการนี้นะครับ
จุดเริ่มต้นของแบรนด์ NIGAO
ก่อนหน้านี้ผมไม่ชอบธุรกิจเสริมสวยเลย เพราะอย่างแรก ด้วยความที่เราเป็นผู้ชาย และสอง ด้วยความที่คุณแม่ประสบปัญหาจากการทำธุรกิจด้านนี้มาก่อน ผมก็เลยมีปมไม่ค่อยชอบธุรกิจเสริมสวย แต่ตอนนั้นเราไม่ประสบความสำเร็จด้านการค้าขาย พอมีโอกาสตรงนี้เข้ามาเลยอยากลองดูอีกสักครั้ง ซึ่งระหว่างทางก็สมบุกสมบันมาก เพราะไม่มีประสบการณ์เลย ไปขายโดยที่ไม่มีความรู้ ยังไม่รู้จักสิ่งที่ทำมากพอ เวลาเข้าไปขายส่วนใหญ่ก็เลยถูกปฏิเสธ 99.99 โดนปฏิเสธ จนคิดว่าคงไปไม่รอด
แต่ผมมีคติที่ยึดไว้ตลอด คือ ผมจะไม่พูดกับตัวเองว่า “รู้อย่างนี้” ผมจะโกรธตัวเองมากถ้าเกิดว่าเราทำอะไรไปแล้วมาบอกตัวเองในวันหนึ่งว่ารู้อย่างนี้วันนั้นเราทำอย่างนี้ดีกว่า รู้อย่างนี้วันนั้นเราทำแบบนี้ดีกว่า แล้วผมก็เชื่อในเรื่องของฟ้าดินนะครับ การที่ได้เกิดในครอบครัวที่คุณแม่อยู่ในสายอาชีพนี้ พี่ชายเองที่เสียสละไม่เรียนหนังสือ แล้วก็ออกมาส่งเราเรียน เขาก็ไปอยู่ในสายอาชีพนี้ ถึงเราจะเกลียดมัน เพราะมันทำให้ครอบครัวเราจากครอบครัวที่ดีๆ มีความสุขสบายแล้วตกลงไปถึงจุดต่ำมากๆ เป็นหนี้เป็นสิน ผมก็เลยตัดสินใจรับงานนี้และลองออกต่างจังหวัดดู ครั้งแรกเลยผมจำได้ผมไปภาคอีสาน วันนั้นเป็นครั้งแรกที่คนช่วยซื้อของ แต่ถามว่ามันเป็นยอดเงินมากไหม ไม่มากหรอก แต่สิ่งที่ได้คือ มันทำให้เรารู้สึกมีกำลังใจ ได้กำลังใจว่าถ้าเรายังมีความพยายามต่อไป มันน่าจะไปได้นะ
นำความผิดพลาดมาเป็นบทเรียนในการทำธุรกิจ
จริงๆ แล้วผมไม่มีความรู้เรื่องการตลาดนะครับ เพราะจบสายศิลปะ แล้วต้องทำยังไง? ผมได้นำสิ่งที่ไปเจอมาจริงๆ จากประสบการณ์ที่โดนปฏิเสธมาเป็น 100 ครั้ง แต่ผมไม่เคยท้อ เอากลับมาดูเป็นบทเรียน ถ้าร้านค้ามีปัญหาเรื่องนี้เราจะทำยังไง ผมกลับไปใหม่เลย พร้อมกับนโยบายที่เรียกว่า 1 จังหวัด 1 ร้าน ไปสาธิต ทำเวิร์กชอปผลิตภัณฑ์ เป็นช่วงที่ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และแน่นอนครับ สิ่งที่ได้มามันไม่ได้เป็นรายได้ที่ทำให้เรามั่นใจได้หรอกว่าบริษัทจะไปต่อได้ แต่มันเป็นกำลังใจให้เราเดินต่อไป ทำให้มั่นใจว่าเรามาถูกทางแล้ว
สิ่งที่เป็นอุปสรรคในการทำงาน
ต้องเรียกว่าเจอปัญหาทุกเรื่องเลยดีกว่า เพราะด้วยความที่แน่นอนล่ะเราต้นทุนไม่มี เงินไม่มี ไม่ได้จบการตลาดเลย ไม่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับวงการเสริมสวยมาก่อนเลย เพราะฉะนั้นทุกสิ่งที่เจอมาก็คืออุปสรรค เป็นปัญหาทั้งหมดเลยครับ แต่ผมโชคดีที่มีคุณพ่อคุณแม่เป็นคนสู้ชีวิต เราเติบโตมากับสิ่งที่เราเห็น ก็คือเขาเริ่มจากการเป็นลูกจ้าง ทำโรงเรียนของตัวเอง กลับไปถึงจุดที่เป็นศูนย์ใหม่ แล้วเขาก็ไปสู้ขึ้นมาใหม่ ผมเลยมองว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นมาทั้งหมดมันเป็นความท้าทาย และเป็นความสนุกที่ได้ทำแล้วได้ผ่านไปแต่ละก้าวๆ
ช่วงวิกฤตโควิด บริษัทได้รับผลกระทบอะไรบ้าง
ถ้าใครอยู่ในแวดวงการทำธุรกิจก็คงทราบดีอยู่แล้วว่ามันเป็นขาลงของทั้งโลกเลย แต่ผมกลับมองว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลง มันเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ซึ่งโลกมันกำลังถูกเปลี่ยนถ่าย และพอมาถึงช่วงที่มันเป็นโควิด ทุกธุรกิจการขายชะลอตัวลง ร้านเสริมสวยโดนปิด ธุรกิจท่องเที่ยวหายไป ธุรกิจหลายๆ อย่างมีปัญหา มันทำให้ตัวลูกค้าเราก็มีการชะลอตัวในการใช้สินค้า ซึ่งยอดก็ค่อนข้างตกลงไปมากทีเดียว
ทำไมถึงตัดสินใจปรับภาพลักษณ์บริษัท
จากวิกฤตที่ผ่านมาทำให้ผมเริ่มหันมามองว่าต้องทำอะไรสักอย่างที่จะนำพาองค์กรให้ไปต่อได้ในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง และช่วงนั้นผมได้ที่ปรึกษาท่านหนึ่งซึ่งรู้จักกันมา 10 กว่าปีแล้ว ชื่อ ดร.สรณ์ จงศรีจันทร์ ท่านได้แนะนำให้เริ่มต้นกลับไปที่ 1 ใหม่เลย ซึ่งก็คือเรื่องการสร้างแบรนด์ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่บริษัทบิวตี้ เบลนด์ ได้ปรับภาพลักษณ์องค์กรทั้งหมด ซึ่งไม่ใช่แค่การรีแบรนด์อย่างเดียว แต่เราได้เปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่าง และผมก็ได้ถือโอกาสรื้อสูตรสินค้าทั้งหมด นำมาพัฒนา เขียนสูตรขึ้นมาใหม่ให้ดีขึ้นไปอีก โดยมุ่งเน้นเรื่องความปลอดภัยของผู้บริโภคมากขึ้น ซึ่งวันนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้น ณ วันนี้นะครับ
กลยุทธ์การตลาดของบริษัท บิวตี้ เบลนด์
กลยุทธ์เราที่ได้วางไว้ คือด้วยความที่บิวตี้ เบลนด์ เติบโตมาด้วยสินค้าที่มีเอกลักษณ์นะครับ สิ่งแรกที่เราให้ความสำคัญคือ สูตรสินค้า ที่เน้นเรื่องคุณภาพ มีความปลอดภัย อยู่ในมาตรฐานที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข เมื่อลูกค้าได้สัมผัสสินค้าเราแล้วก็จะได้รู้สึกถึงความแตกต่าง อย่างเช่น สีผมที่ไม่มีกลิ่น ทำแล้วผมนุ่ม ไม่กระด้าง นอกจากนี้ เรายังได้เพิ่มในเรื่องของการสื่อสารมากขึ้น เพราะช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา สินค้าของบิวตี้ เบลนด์ อยู่มาได้ด้วยการที่ลูกค้าใช้แล้วชอบ ประทับใจ และนำไปบอกต่อๆ กันไป ทำให้การเติบโตของสินค้าเรา ณ วันนั้นเพิ่มขึ้นจากจุดนี้ ซึ่ง ณ ตอนนี้ถ้าใครเป็นแฟนคลับของบิวตี้ เบลนด์ และสินค้าแบรนด์ NIGAO ก็จะเห็นว่าเรามีสื่อโซเชียลที่มากขึ้นนะครับ แล้วก็ทำการสื่อสารกับผู้บริโภคมากขึ้น เพื่อให้รู้ว่าสินค้าเราเป็นอย่างไร มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ที่มาของโปรเจ็กต์ The Color of Love
เป็นโปรเจ็กต์พิเศษที่บิวตี้ เบลนด์ ร่วมกับนิตยสาร Hairworld Plus+ ทำขึ้นมา โดยมีศิลปินสาว 6 คนมารวมตัวกันในนาม NIGAO GILRS ที่เป็นตัวแทนของสีผมใน 6 เฉดสี พร้อมกับได้มีการแต่งเพลง The Color of Love ขึ้นมา โดยได้คุณก๊อป โปสการ์ด เป็นโปรดิวเซอร์ เป็นเพลงเนื้อหาดีๆ ที่เกี่ยวกับการให้กำลังใจคนที่มีความผิดหวัง อกหัก หรือมีความทุกข์ ให้ลุกขึ้นมาทำให้ตัวเองมีสีสัน เพราะการที่เราเปลี่ยนแปลงตัวเองก็เหมือนเป็นการได้เริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ โปรเจ็กต์นี้ก็เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่วางไว้ หลังจากนี้เราก็จะทำการตลาดในรูปแบบอื่นๆ เสริมเข้ามาด้วยนะครับ
สไตล์การบริหารงาน
ผมเป็นคนเชื่อในเรื่องของการปฏิบัติ ผมเชื่อในเรื่องของคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะครับ อยากให้องค์กรนี้เป็นองค์กรที่เต็มไปด้วยธรรมาภิบาล คุณธรรม จริยธรรม เป็นสิ่งที่เราพยายามปลูกถ่ายกันภายในองค์กร เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะทำสินค้าอะไร ต่อให้ผู้บริโภครู้หรือไม่รู้สิ่งที่เราจะทำ เราจะทำของที่เราให้ผู้บริโภคได้ใช้ของที่ปลอดภัยจริงๆ นะครับ ผมไม่ได้ยึดติดกับว่าเมื่อองค์กรเติบโตแล้วเนี่ย จะต้องมีตัวเลขเท่านั้นเท่านี้ เพื่อที่จะทำให้ไปเป็นตัวชี้วัดองค์กร ผมกลับใช้ตัวชี้วัดที่เรียกว่า “ความสุข” ตราบใดที่คนในองค์กรของเรา หรือผู้บริโภคที่ใช้สินค้าของเรา ตัวแทนจำหน่ายของเรา ค้าขายกับเราแล้วมีความสุข ใช้สินค้าเราแล้วมีความสุข ใช้แล้วสบายใจ ใช้แล้วปลอดภัยนะครับ เด็กๆ ในองค์กรทำงานไปเขารู้สึกภาคภูมิใจว่าอยู่ในองค์กรที่ไม่เอาเปรียบคน ซื่อสัตย์ แล้วก็ทำของดีๆ ผมว่าเนี่ยมันเป็นความยั่งยืน
ตั้งเป้าหมายอนาคตบริษัทไว้อย่างไร
มีสิ่งหนึ่งที่เราวางไว้ตั้งแต่วันแรกเมื่อก่อตั้งบริษัทขึ้นมาคือ การให้ความสำคัญกับผู้บริโภค เราตั้งใจที่จะผลิตสินค้าที่ดี มีคุณภาพ และมีความปลอดภัยมากขึ้น ผมอยากให้ช่างผม หรือแม้แต่ลูกค้าของช่างผมได้ใช้สินค้าที่มีความปลอดภัย และราคาที่ยุติธรรม นอกจากนี้ เรายังให้ความสำคัญกับตัวแทนจำหน่าย ผมถือว่าในวันที่เราเริ่มต้นเดินทางมาถ้าไม่มีตัวแทนจำหน่าย เราก็จะไม่มีวันนี้ ผมถือว่าตัวแทนจำหน่ายทุกคนเป็นผู้ที่มีบุญคุณกับองค์กร ทำให้เราเติบโตขึ้นมาได้ และอีกกลุ่มที่เราให้ความสำคัญมากๆ เลยก็คือ คนที่อยู่ในองค์กร ที่ร่วมสู้ ร่วมเดินทางกับเรามาตั้งแต่วันที่เริ่มต้นจากไม่มีอะไรเลย ผมตั้งเป็นเป้าหมายไว้เลยว่าคนในองค์กรต้องมีความสุข วัฒนธรรมองค์กรจะเป็นแบบพี่น้อง เน้นการดูแลอย่างใกล้ชิด รวมทั้งการพัฒนาศักยภาพด้วย
ฝากถึงผู้บริหารรุ่นใหม่
ขอให้เราเป็นคนดีนะครับ ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะมีคนเห็นหรือไม่เห็นก็ขอให้เรายึดสิ่งนี้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ขอให้ทำอย่างจริงใจ ตั้งใจ ไม่ว่าจะมีคนเห็นหรือไม่ก็ตาม และให้รู้ตัวอยู่เสมอว่าในสิ่งที่ทำนั้น เราทำเพื่ออะไร อย่ามองแต่เพียงเรื่องของตัวเลข หรือการเติบโตเป็นที่ตั้งเพียงอย่างเดียว ขอให้มองไปในหลายๆ มุมนะครับ
ความล้มเหลวและความผิดพลาดไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย แต่มันจะน่าเสียดายมากกว่าถ้าเรา “ล้ม” แล้ว “เลิก” ทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้ จนต้องกลับมานึกเสียใจภายหลัง หากเรารู้จัก “เรียนรู้” นำความผิดพลาดมาเป็นบทเรียน เส้นทางสู่ความสำเร็จย่อมอยู่ไม่ไกล เช่นเดียวกับเรื่องราวชีวิตและแนวคิดการบริหารงานในแบบฉบับของ “คุณอั๋น ภูริวัฒน์ เขียนขำ” ที่ถ่ายทอดไว้ในครั้งนี้ น่าจะสร้างแรงบันดาลใจดีๆ ให้ใครหลายคนอย่างแน่นอน