คนที่อยู่ในวงการแฟชั่นความงาม หรือชื่นชอบเรื่องเมคอัพ ต้องคุ้นเคยกับชื่อของ “เมคอัพ สโตร์” (Make Up Store) แบรนด์เครื่องสำอางชั้นนำจากประเทศสวีเดน ที่มีคุณภาพและเอกลักษณ์เฉพาะตัว ได้รับความนิยมในวงกว้างอย่างรวดเร็วกว่า 22 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยที่ตอนนี้มีถึง 5 สาขา รวมทั้งมีสถาบันสอนแต่งหน้า International Makeup Center Thailand (IMC) อีกด้วย หลายคนคงสงสัยแล้วว่าอะไรที่ทำให้แบรนด์นี้ครองใจเหล่าสาวกเมคอัพ Hairworld Plus+ ขอพาไปพูดคุยกับ คุณเอ็ม-วรพล พิมพ์ธชา CEO บริษัท Make Up Store Thailand ถึงเบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์ และเปิดมุมมองการบริหารงานที่น่าสนใจไปพร้อมๆ กัน
จุดเริ่มต้นในการเข้ามาทำงานกับ Make Up Store
เริ่มจากในปี 2007 ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการร้านและเมคอัพอาร์ติสต์ประจำสาขา ดูแลยอดขายและพนักงานประจำสาขาภูเก็ต ซึ่งตอนนั้นมีเพียง 2 สาขา หลังจากนั้นในปี 2015 ได้เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท และเป็นเจ้าของบริษัทในปี 2018 จนถึงปัจจุบัน
ดูแลงานด้านไหนบ้าง
ดูแลทั้งในส่วนของมาร์เก็ตติ้ง ทั้งการนำเข้าผลิตภัณฑ์ และกลยุทธ์ทางการตลาดในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังเป็นผู้อำนวยการสถาบัน IMC ประเทศไทย สอนการแต่งหน้าตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงการแต่งหน้ารูปแบบต่างๆ เพื่อประกอบอาชีพเป็นช่างแต่งหน้าโดยเฉพาะ
ความเป็นมาของแบรนด์ Make Up Store
แบรนด์ของเราเริ่มต้นขึ้นที่ประเทศสวีเดนเมื่อประมาณ 26 ปีที่แล้ว จากการที่ผลิตเพื่อให้นักเรียนใช้ในสถาบันสอนแต่งหน้า International Makeup Center เพราะตอนนั้นเครื่องสำอางที่มีคุณภาพดี หายากและมีราคาแพง เมื่อสินค้าชิ้นแรกถูกผลิตขึ้น ได้รับผลตอบรับที่ดีมาก จนต้องเปิดร้านเพื่อจำหน่ายในปี 1996 ตอนนั้นสินค้าขายดีมากจนโทรศัพท์ขัดข้องไปครึ่งเมืองเพราะมีลูกค้าโทรหาเพื่อสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก
จุดเริ่มต้นของสถาบัน International Makeup Center
สาขาแรกของโรงเรียน International Makeup Center หรือ IMC เริ่มจากประเทศสวีเดนซึ่งก่อตั้งในปี 1990 โดยผู้ก่อตั้งแบรนด์คือ Mr.Mika Liias เล็งเห็นถึงความสำคัญในการสร้างเมคอัพอาร์ตทิสค์ให้มีความรู้ในการสร้างผลงานที่โดดเด่น ทำให้สถาบันของเราเป็นที่รู้จักในแถบยุโรป และมีสาขาย่อยมากกว่า 10 ประเทศทั่วโลก โดยเปิดการเรียนการสอนที่ประเทศไทยครั้งแรกเมื่อปี 2010 จนถึงปัจจุบันเรามีนักเรียนทั้งหมดถึง 41 รุ่น
การพัฒนาของแบรนด์ Make Up Store
สินค้าของเราเน้นคุณภาพเป็นหลัก เนื่องจากเป็นเครื่องสำอางที่ผลิต พัฒนาและใช้จริงโดยช่างแต่งหน้า จึงมีการพัฒนาตัว Product อยู่ตลอดเวลาเพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยและเทรนด์ต่างๆ ที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน เพื่อการใช้งานได้อย่างหลากหลาย ครอบคลุมทุกสีและทุกสภาพผิว สามารถใช้ได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากเครื่องสำอางแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์ประเภทสกินแคร์บำรุงผิวควบคู่ไปด้วย จึงต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในการใช้เป็นหลัก เรามีโรงงานที่มีชื่อเสียงสำหรับการผลิตสินค้าจากหลากหลายประเทศทั่วโลก โดยสินค้าของเราจะเป็น Vegan 100% คือไม่ทดลองกับสัตว์ ไม่มีส่วนผสมจากสัตว์เลย นอกจากนี้ ยังไม่มีส่วนผสมของพาราเบนอีกด้วย ส่วนจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ที่เราเน้นก็คือ เม็ดสีชัด ให้ Pigment แน่น ทุกสีของสินค้าที่เห็นในตลับ เมื่อแต้มที่ผิวจะให้สีที่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นรองพื้น แป้ง บลัชออน โดยเฉพาะอายแชโดว์ ที่เรามีให้เลือกมากกว่า 10 Texture และมีสีให้เลือกมากกว่า 300 สี
จุดเปลี่ยน จาก ‘หุ้นส่วน’ มาเป็น ‘ผู้บริหาร’
ช่วงแรกที่เราทำงานสาขาที่เมืองไทยก็จะดูแลทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการขาย เทรนนิ่งพนักงาน หรือแม้กระทั่งติดต่อกับ Back Office ที่สวีเดน เราก็ต้องเป็นคนสั่งของจากประเทศสวีเดนเองด้วย เรียกว่ามีโอกาสได้ดูแลทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน หลังจากทำตรงนั้นมาประมาณ 10 ปี ทางคุณ Mika ออกปากว่า คุณอยากบริหารแบรนด์ที่ประเทศไทยไหม เพราะทำงานมา 10 ปีแล้วน่าจะรู้ถึงมาร์เก็ตติ้งของเมืองไทยดี ซึ่งช่วงนั้นเราก็เริ่มมองว่าการทำสาขาที่เมืองไทยมีเรื่องต้องตัดสินใจหลายอย่าง บางเรื่องค่อนข้างเร่งด่วน ซึ่งเราเห็นว่าตัดสินใจเองจะรวดเร็วกว่า เพราะด้วยความที่คุณ Mika อยู่สวีเดน เวลาเมืองไทยกับสวีเดนค่อนข้างห่างกัน 6-7 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นการตัดสินใจบางอย่างมันรอไม่ได้ มันเหมือนได้งานมาปุ๊บเราต้องตัดสินใจนะเดี๋ยวนั้นเลย พอเราเริ่มทำด้วยตัวเราเอง เราสามารถตัดสินใจได้ 100 เปอร์เซ็นต์ สามารถดึงพลังทั้งหมดของเราที่มีออกมาได้ จนงานมันสำเร็จ 100 เปอร์เซ็นต์เลย
ก่อนขึ้นมาเป็นผู้บริหารแบรนด์ กังวลใจบ้างไหม
มีเยอะเลย ตอนแรกที่เรายังเป็นพนักงานอยู่ ยังเป็นแค่ Manager หน้าที่เราแค่ทำยอดขายให้เขา ดูแลร้านแค่นั้นเอง ถูกไหมครับ แต่พอมาเป็นหุ้นส่วนปุ๊บ มันเหมือนเราต้องแชร์ทุกอย่างกับเขาครึ่งนึงก่อน แชร์ปัญหา หรือแม้กระทั่งเรื่องการทำงาน แต่ทีนี้พอมาเป็นเจ้าของเลย ต้องรับทุกอย่างมา 100 เปอร์เซ็นต์ ก็ค่อนข้างกังวลเหมือนกัน เช่น กลัวจะทำไม่ได้ ถ้าเกิดมีปัญหาจะทำยังไง ในเมื่อเราไม่มีหุ้นส่วนในการแชร์ปัญหาแล้ว เราต้องแบกรับไว้คนเดียว มันจะไหวไหม แต่เหมือนว่า 10 ปีที่เราทำตรงนี้มา มันพิสูจน์แล้วว่าเราทำได้ เลยตัดความกังวลตรงนั้นออกไปได้
ต้องบริหารงานทั้งในส่วนของ Make Up Store และโรงเรียน แบ่งสัดส่วนในการทำงานยังไง
คือตอนนี้เรามีทั้งโรงเรียน และ Make Up Store โชคดีที่เรามีทีมงานที่ดี มีพาร์ทเนอร์ที่ดีด้วย คือโรงเรียนผมก็ยังสอนอยู่ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ก็จะมีผู้ช่วย แต่เรารู้สึกว่าเราอยากให้ความรู้กับเด็ก เราอยากเข้าไปบรีฟเด็กให้เต็มที่ ส่วน Make Up Store เราก็ทิ้งไม่ได้ แต่ยังสามารถกระจายงานได้ ก็เลยทำควบคู่กันไปได้ครับ
แม้จะเป็นแบรนด์เดียวกัน แต่ก็เหมือนเป็น 2 บริษัท มีกลยุทธ์ในการทำงานยังไงบ้าง
โชคดีที่ทั้งสองอย่างนี้เป็นสายงานเดียวกัน เหมือนเราขายเครื่องสำอาง เราก็ต้องขายแบบมีความรู้ด้วย ซึ่งความรู้ที่เราได้ก็สามารถที่จะทำให้ลูกค้าเวลาที่เขาซื้อของไป เขาก็รู้วิธีใช้ก่อนนะครับ แต่พอเรามาสอนนักเรียน ก็เหมือนเราเอาความรู้เรื่องโปรดักท์ที่มีมาสอนนักเรียนด้วย เพราะการที่จะเป็นช่างแต่งหน้าที่ดี นอกจากจะต้องแต่งหน้าสวยแล้ว ต้องรู้และเข้าใจผลิตภัณฑ์ก่อนที่จะนำไปใช้ให้กับลูกค้าด้วย มันก็เลยกลับกลายเป็นว่าสองอันนี้มันควบคู่กันไปเลย ก็เลยโชคดีตรงที่ว่าสองอันนี้มันไปด้วยกันได้ครับ
คิดว่าจะพัฒนาในส่วนของแบรนด์นี้ออกไปยังไงบ้าง
คือจริงๆ ตอนนี้ Make Up Store เราค่อนข้างที่จะ Stable อยู่ ณ ตอนนี้ แต่ว่าที่คุยกับทางสวีเดนเขากำลังจะเปลี่ยนคอนเซ็ปต์ให้ดูสนุกสนานมากขึ้น จากเมื่อก่อนที่ร้านทุกร้านจะต้องเป็นสีดำหมด แต่ตอนนี้เปลี่ยนจากสีดำมาเป็นสีขาวนะครับ ซึ่งเมืองไทยน่าจะมีสาขาที่เป็นคอนเซ็ปต์ใหม่ปลายปี เราก็เลยอยากจะทำให้ร้านดูเป็นร้านใหม่แห่งแรกในเอเชียเลย ตามคอนเซ็ปต์ของสวีเดนนะครับ ส่วนโรงเรียนก็จะมีการเพิ่มหลักสูตรใหม่ๆ ไปอีก เพราะตอนนี้เรามีหลักสูตรเดียว คือ 200 ชั่วโมง อาจจะมีเพิ่มเป็นหลักสูตรระยะสั้น เพราะว่านักเรียนค่อนข้างที่จะให้ความสนใจเยอะเหมือนกันนะครับ
ตอนนี้มีกี่สาขา คิดว่าจะต่อยอดสาขาเพิ่มไหม
Make Up Store ในประเทศไทยตอนนี้มี 5 สาขานะครับ มีที่เซ็นทรัลพัทยา โรบินสันพิษณุโลก ภูเก็ต จังซีลอน และที่สยามพารากอน ส่วนโรงเรียน IMC ก็มีสาขาเดียวครับ จริงๆ เราอยากขยายสาขา Make Up Store ให้ครบทุกห้างสรรพสินค้าในประเทศไทย แต่ว่าก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่ด้วย เพราะว่าคอนเซ็ปต์เราจะต้องเป็น Shop เท่านั้น แต่ทีนี้ความนิยมของคนไทยชอบเดินห้างมากกว่าที่จะเดินเข้า Shop เป็นร้านๆ เพราะฉะนั้นอาจจะต้องดูพื้นที่ ดูทำเลอีกทีนึง ส่วนโรงเรียน IMC เราอยากจะเปิด 3 สาขา จะมีกรุงเทพฯ เป็นเซ็นเตอร์ แล้วก็จะมีที่ภาคใต้ ที่ภูเก็ต ภาคเหนือ ที่เชียงใหม่ครับ
หัวใจหลักของแบรนด์ทั้ง Make Up Store และโรงเรียน IMC
หัวใจหลักของแบรนด์ เรายังคงคอนเซ็ปต์เดิมก็คือ เราจะให้ความรู้กับพนักงานก่อน เพื่อให้พนักงานให้ความรู้ที่ถูกต้องกับลูกค้าได้ เพราะบางครั้งเราเจอปัญหาว่าลูกค้าซื้อของไปแล้วใช้ไม่ถูกเพราะว่าไม่ได้รับการอธิบายที่ถูกต้อง หรือว่าพนักงาน หรือ BA ไม่ได้สอนลูกค้า เพราะว่าอยากขายอย่างเดียว แต่ถ้าเราได้ให้ความรู้กับพนักงานไป แล้วให้ความรู้กับลูกค้า ลูกค้าใช้เป็น ใช้ถูก เพราะเขาใช้แล้วชอบ เขาก็จะกลับมาซื้อ มันก็เลยเป็นหัวใจหลักของแบรนด์ของเราจริงๆ มันเหมือนเป็นการให้ Knowledge กับพนักงานโดยตรงเลย
วิกฤติโควิด บทพิสูจน์ของ Make Up Store
ช่วงโควิดที่ผ่านมาเราได้ผลกระทบค่อนข้างมาก เพราะสาขาส่วนใหญ่อยู่ในห้าง พอห้างถูกสั่งปิดทำให้รายได้แทบไม่มีเข้ามาเลย พอเราไม่มีรายได้ก็ต้องหันมาปรับวิธีขายใหม่ จากขายในห้างมาขายออนไลน์ ซึ่งขายออนไลน์แบบนี้เราไม่เคยให้ความสำคัญมาก่อน พอช่วงโควิดเหมือนเราได้ทำงานอีก Way นึง และการขายออนไลน์ก็ช่วยให้พยุงบริษัทให้ไปได้ วิกฤตโควิดเหมือนเป็นความโชคร้าย แต่ก็มีความโชคดี ที่ทำให้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่เราไม่เคยทำมาก่อน ที่สำคัญอีกอย่างคือ ทำให้เราต้องคิดวางแผนและเตรียมเงินสำรองไว้ ถ้ามันเกิดปัญหาเช่นนี้อีกเราก็มีเงินทุนพอที่จะช่วยพยุงกิจการไปได้
อุปสรรคในการทำงาน และวิธีจัดการกับปัญหา
อุปสรรคและปัญหาก็มีทุกช่วงเลยครับ วิธีการจัดการปัญหาคือเราจะคุยกับคนในทีม หรือคุยกับคนที่มีความรู้มาก่อน แล้วช่วยกันแก้ไข เพราะเวลามีปัญหาเข้ามา ถ้าเป็นปัญหาที่เราเคยเจอ เราจะไม่กลัว แต่พอปัญหาที่เราไม่เคยเจอก็อาจจะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ปรึกษาเพื่อน หรือว่าปรึกษาทางประเทศสวีเดนเลยก็ได้ครับ
เคยรู้สึกเหนื่อยหรือท้อบ้างไหม
ก็มีอยู่แล้ว แต่เราทำอะไรไม่ได้ เอาจริงๆ มันก็ต้องกลับมาทำงานทุกวัน เพราะเรารู้สึกว่าถ้าอยู่บ้านมันได้พักผ่อนก็จริง แต่เหมือนมันขาดอะไรไป แม้ว่าอยู่ออฟฟิศมันเหนื่อย แต่ก็มีความสุขที่ได้ทำงาน คือตอนนี้เรายังรู้สึกว่าทำงานหนักไม่พอเลยนะ บางครั้งเวลามาทำงานมันเหมือนเป็นการพักผ่อนด้วย มาเจอน้องๆ มาเจอพนักงาน ได้คุยกัน เพราะถ้าคนอื่นที่อยู่ในวงการเครื่องสำอางจะมีความสุขเมื่อได้คุยเรื่องเครื่องสำอาง คนเป็นครูก็เหมือนกัน ความสุขของครูคือการได้คุยกับนักเรียน ยิ่งเราเจอนักเรียนใหม่ๆ มันเหมือนเป็นการผ่อนคลายไปในตัว
คิดว่าผู้บริหารที่ดีต้องเป็นยังไง
การเป็นผู้บริหารที่ดีคือ ต้องทำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการขายของหน้าร้าน หรือการคุยกับพนักงาน เพราะการทำงานออฟฟิศเราไม่อยากให้เขารู้สึกว่าเป็นหัวหน้า แต่เป็นเพื่อนร่วมงานเขา เขามีอะไรก็คุยกับเราได้ อย่างเช่น เขาทำถูกก็ชม ทำผิดก็ด่า แต่ก็ไม่ได้ด่าแบบเอาจริงเอาจัง ด่าเพื่อให้เขารู้สึกว่าอันนี้มันไม่ถูกต้องนะ หรือเราพูดเพื่อให้ข้อเสนอแนะเขา แล้วเราก็รับฟังข้อเสนอแนะเขาด้วย มันเหมือนเราต้องไปอยู่ทุกตำแหน่งของพวกเขาเลย ไม่ว่าจะเป็นพนักงานหน้าร้าน หรือแม้กระทั่งคุณครู บัญชี สต๊อก เราต้องรู้ทุกอย่าง ทุกแผนกเลย เพราะเผื่อว่าวันนึงเขาลาป่วย เราก็ยังไปแทนที่เขาได้ โดยที่เราไม่รู้สึกว่าเราเป็นผู้บริหารนะ เราอยู่ตรงนี้แล้วเราลงไปไม่ได้ ไม่ได้ครับ เราต้องไปทุกที่เลย
จากเริ่มทำงานเป็นพนักงาน จนมาถึงวันนี้ถือว่าสูงสุดแล้วหรือยัง
สูงสุดไหมก็ยังไม่แน่ใจ เพราะจริงๆ เราก็อยากทำให้แบรนด์เติบโตในประเทศไทยมากขึ้น อยากให้มีสาขาทุกจังหวัด อยากจะให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากกว่านี้ แล้วก็อาจจะขยายโรงเรียนไปที่ประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเช่นพม่า ลาว ในแถบอาเซียนครับ เพราะว่าโรงเรียนของเราค่อนข้างจะเป็นที่นิยมของกลุ่มอาเซียนมากเหมือนกัน มีนักเรียนจากพม่า ลาว แม้กระทั่งรุ่นก่อนๆ ก็มีจากอินเดียก็มาเรียนเหมือนกันนะครับ สิงคโปร์ก็มี เราก็อยากเปิดให้ครบทุกประเทศในแถบอาเซียนเลยนะครับ
อยากฝากอะไรถึงนักบริหารรุ่นใหม่ กับการทำงานให้ประสบความสำเร็จ
เราจะต้องเข้าไปทำงานทุกอย่างได้ คือก่อนที่เราจะสอนคนอื่น เราต้องทำเป็นก่อน ก่อนที่เราจะสั่งเขา เราต้องเคยทำก่อน และที่สำคัญคือ ไม่มีวันหยุดสำหรับผู้บริหาร เราต้องขยันก่อน ห้ามขี้เกียจเด็ดขาด ถ้าวันไหนเรารู้สึกท้อ รู้สึกเหนื่อย ก็อาจจะมองย้อนกลับไปว่ากว่าที่เราจะมาถึงจุดนี้ได้เราเคยผ่านตรงนั้นมาแล้ว ถ้าเราไม่ Move On หรือก้าวไปข้างหน้า เราก็จะหยุดอยู่กับที่ ถ้าเราขยันมากขึ้นเราก็จะเห็นโอกาสและอนาคตมากขึ้นครับ
ความมุ่งมั่นตั้งใจ รักในสิ่งที่ทำ บวกกับการทำทุกอย่างให้เต็มที่ และทำให้ดีเกินกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้ สิ่งเหล่านี้เป็นรหัสลับแห่งความสำเร็จของ “คุณเอ็ม-วรพล พิมพ์ธชา” ที่ Hairworld Plus+ ไขออกมาให้ทุกคนนำไปใช้ เพื่อเป็นบันไดให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จ