ช่วงวิกฤตโควิดที่ผ่านมา ช่างผมเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก จากการที่ร้านทำผมต้องปิดลงชั่วคราวตามมาตรการล็อกดาวน์ของภาครัฐ หลายคนหันไปทำอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ให้ตัวเอง เราได้เห็นช่างผมต่อสู้วิกฤตโควิดกันอย่างเข้มแข็ง และหนึ่งในนั้นก็คือ “พี่ตู๋-ศรารัตน์ คำสำรวย” แห่ง Mum & Me Hair ช่างผมฝีมือดีที่วางกรรไกรชั่วคราวแล้วมาปิ้งหมูขาย แต่โควิดครั้งนี้ก็ยังไม่ใช่วิกฤตครั้งใหญ่ในชีวิตของพี่ตู๋ เพราะเธอได้ผ่านเรื่องราวที่แสนสะเทือนใจมามากมาย เรียกได้ว่า “ชีวิตจริง ยิ่งกว่านิยาย” มาติดตามว่าเธอก้าวผ่านเรื่องราวเหล่านั้นจนมีชีวิตที่สดใสได้อย่างไร ใน The Inspire by Hairworld+
ชีวิตในช่วงโควิดที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง
ช่วงนั้นช่างทำผมก็ได้รับผลกระทบกันทุกคนเพราะต้องปิดร้าน ตัวพี่เองก็หาอะไรทำเพื่อให้น้องๆ ในร้านไม่ต้องเดินทางกลับต่างจังหวัด เพราะตอนนั้นเรายังไม่รู้ว่าโควิดจะหมดเมื่อไหร่ ก็เลยมาคิดว่าเอาล่ะลองขายหมูปิ้งดีกว่า ตอนแรกก็ทำแบบขำๆ ไง ตอนหลังไม่ขำเลย เหนื่อย เพราะขายดีมาก ช่วงแรกขายได้ 200-300 ไม้ บางวันได้เกือบพันกว่าไม้ก็มีนะ เพราะยืนปิ้งกันเกือบทั้งวัน ถึงตอนนี้ก็ยังขายอยู่ มีลูกค้าอยากให้ขายต่อเพราะว่าติดแล้วไง ก็จะแบ่งให้น้องอีกกลุ่มนึงขาย เพราะพวกน้องที่ทำผมก็ต้องกลับมาทำผมแล้ว
พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ดี?
ก็ไม่คิดว่าจะพลิกวิกฤตเป็นโอกาสหรอก เราก็เป็นของเราอย่างนี้อยู่แล้ว โควิดไม่ใช่วิกฤตสำหรับพี่นะ เฉยๆ เข้าใจปัญหา ถ้าทุกคนคิดได้นะ เปลี่ยนความกลัวให้เป็นความรู้ความเข้าใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ป้องกันได้ ถ้าเราป้องกันตัวเองได้ ป้องกันสังคมเล็กๆ ของเราได้ ถ้าทุกคนคิดแบบนี้ได้ก็ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวเลย
ชีวิตวัยเด็กที่ผ่านความลำบาก
ตอนเด็กๆ ลำบากมาก กินข้าวกับน้ำปลาเนี่ยเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับพี่ คิดซะว่ามันอร่อยก็อร่อย กินให้มันอิ่มไง แต่ชีวิตจะบอกว่าต้องอดทนไหม? ไม่ได้ทนนะ มันชินมากกว่า เพราะพ่อแม่ลำบาก พ่อเป็นทหารอากาศที่เจ้าชู้มาก ไม่รับผิดชอบครอบครัว แล้วก็ชอบกินเหล้า พอเมาก็ซ้อมแม่ ตัวพี่เองก็ไม่รู้จะหนีไปไหน ต้องอยู่กับมันไป อยู่กับแม่ไป พี่ก็ไม่เคยคิดจะทิ้งแม่ หนีไปคนเดียว พี่รู้ว่าแม่อ่อนแอ พี่จะทิ้งเขาไปไม่ได้ มีหลายครั้งที่พี่ช่วยแม่ขนของย้ายบ้าน แต่พ่อก็จะตามมาดูมาซ้อมแม่อีก ย้ายบ้านประมาณ 14 หลัง บางหลังเนี่ยไม่ได้ขนออกจากกล่องเลยนะ เฮ้ย! พ่อมาแล้ว แม่ไปกัน ต้องพาแม่หนี เป็นแบบนี้หลายครั้งมาก พี่ก็เคยห้ามพ่อไม่ให้ซ้อมแม่ จนบางทีก็โดนไปด้วย พี่ก็จะมองหน้าพ่อแบบที่เด็กผู้หญิงคนนึงที่จะเกลียดใครได้ อย่างนั้นเลยนะ คิดในใจว่าทำไมถึงทำขนาดนี้ ไม่มีสำนึกบ้างเลยเหรอว่าพ่อทำอะไรผิด
ปัญหาครอบครัวที่กลายเป็นเรื่องฝังใจ
ภาพเหตุการณ์ตอนที่พี่เห็นแม่ถูกซ้อม เห็นบ่อยๆ ซ้ำๆ มันเป็นกลายเป็นเรื่องฝังใจ ภาพนั้นไม่เคยเก่าไปจากความคิดพี่เลย ยังสดใหม่อยู่จนทุกวันนี้ มันเป็นความทรงจำที่พี่สำนึกมายันโตเลยว่าใครก็ตามที่มาดูถูกย่ำยีลูกผู้หญิง พี่จะปกป้องเต็มที่ ในฐานะลูกผู้หญิงด้วยกัน ไม่ว่าคุณจะเป็นอะไรกับเราก็แล้วแต่ แล้วทุกวันนี้พี่ยังนึกขอบคุณด้วยซ้ำนะที่โตมาแบบนั้น มันเหมือนเป็นเกราะให้ตัวเองเข้มแข็ง และเราไม่รู้สึกอะไรเลยกับปัญหา พี่ถึงบอกไงว่า โควิดเฉยๆ สำหรับพี่นะ
จนสุดท้ายคุณพ่อก็เสีย ตอนนั้นรู้สึกอย่างไรบ้าง?
หลังจากที่แยกย้ายกันไปหลายปี พี่ได้ข่าวพ่อไปอยู่อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ อยู่บ้านของภรรยาคนใหม่ จนวันหนึ่งมีคนส่งโทรเลขมาบอกว่าพ่อเสียแล้วนะ สมัยนั้นยังไม่มีโทรศัพท์ เราก็ยังไม่รู้รายละเอียดเรื่องมันเป็นยังไง แต่พี่ก็น้ำตาไหลเลยพอรุ้ข่าว แล้วแม่กับพี่ก็เดินทางไปจังหวัดบุรีรัมย์ แต่แยกกันไปตามหาว่าศพพ่ออยู่ที่ไหน จนพี่ไปเจอว่าอยู่ที่โรงพยาบาลมหาราช ก็ไปติดต่อเจ้าหน้าที่ ติดต่อหมอ หมอบอกว่าเป็นโรคลมชัก ออกใบรับรองจากแพทย์ว่าคนนี้เสีย และให้พี่ไปแจ้งเทศบาล กลับมาก็ยังรับศพไปไม่ได้นะ พี่ก็นั่งรอแม่อยู่ที่โรงพยาบาล 3 วัน 3 คืน
ตอนนั้นคลาดกันกับแม่จะติดต่อใครก็ไม่ได้ ที่บ้านก็ไม่มีโทรศัพท์ พี่เลยตัดสินใจไปถามเจ้าหน้าที่จะเอาศพพ่อกลับบ้านที่พิษณุโลก ก็ไปถามว่ามีรถเอาศพไปที่ต่างจังหวัดไหม เขาบอกว่ามี 6,000 บาท สมัยนั้นเงินจำนวนนี้เยอะมาก พี่ก็เลยคิดว่าไหนลองไปวัดดูซิ เป็นประสบการณ์ที่แบบว่าลองแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยตัวเอง สรุปก็ให้ทางวัดทำพิธีเผาเลย ตอนนั้นจำได้ว่ามีพระอยู่ 4 รูป เดินรอบเมรุ ทำพิธีหมดทุกอย่าง เพียงแต่มีญาติคือพี่คนเดียว แล้วก็เผา เราเอาศพไปไม่ได้ก็เอากระดูกไปได้ พี่คิดแบบนี้ จากนั้นก็นั่งรถทัวร์กลับพิษณุโลก ระหว่างทางก็คิดนะ ตอนเขาอยู่ก็ไม่ได้รักเลย เกลียดซะด้วยซ้ำ ทำไมทำกับแม่กับเราแบบนี้ แต่พอเขาจากไป ทำไมมันร้องไห้ไม่หยุด อ๋อ ความผูกพันทางสายเลือดมันเป็นเช่นนี้นี่เอง
จุดหักเหของชีวิต เข้าสู่เส้นทางอาชีพช่างผม
วันนึงแม่บอกว่ามีแฟนใหม่ แล้วเขาก็บอกว่าให้รางวัลอย่างนึง คนละอย่างกับน้อง น้องเลือกมอเตอร์ไซค์ พี่เลยขอเลือกเรียนทำผมก็แล้วกัน ทำไมถึงต้องทำผมเหรอ ผมกับพี่เนี่ยมีปัญหากันมาตั้งนานแล้ว คนในตระกูลเป็นคนผมฟูมากๆ แล้วก็ไอ้ผมบ๊อบติ่งหูนี่รำคาญมาก เวลาไปตัดที่ร้าน 5 บาท 10 บาท เขาก็ตัด มันไม่เห็นถูกใจเลย พี่ก็ต้องเอากรรไกรของยายมาตัดเองทุกที แล้วเราก็มีความคิดว่า ไม่เห็นจะต้องทำเหมือนช่างเลย ทำเองก็ได้ เลยตัดสินใจเรียนทำผม
เรียนทำผม ความท้าทายในชีวิต
สมัยนั้นค่าเรียนทำผม 6 เดือน 6,000 บาท ก็แพงนะ โอ้โห มันมีค่าหัวหุ่น ค่าอุปกรณ์อะไรด้วย เงินเราก็มีไม่เยอะ เลยเกิดเหตุการณ์แบบเพื่อนที่เรียนม้วนผมอยู่ พี่ก็เลยบอกเฮ้ยม้วนเร็วๆ หน่อย เดี๋ยวยืมหน่อย เพื่อนก็ม้วนไม่ค่อยเป็น พี่ก็ช่วยม้วนจนเสร็จ เขาก็เอาหัวหุ่นไปส่งครู ถึงคราวพี่เอาไปส่ง พี่ก็เลยบอกครูว่า ไม่มีตังค์ซื้อค่ะ เดี๋ยวยืมเพื่อนก่อน ยืมมันอยู่นั่นแหละ ยืมทุกทรง แล้วก็ช่วยมันทำจนเกิดความชำนาญ เหมือนกับเราได้ทำมากกว่าคนอื่นเขา และช่วงที่เรียนเงินเราน้อยใช่ไหม ก็เลยตัดปัญหาเรื่องค่าเดินทาง ย้ายไปอยู่หอหญิง คราวนี้พอไปอยู่หอก็เลยเขียนติดป้ายเลยว่า รับซอยผม ปรากฏว่ามีคนมาซอยผม พี่ก็เลยบอกว่าซอยเป็นแล้ว แต่จริงๆ ยังไม่เป็น เราก็ไม่ได้บอกความจริงให้เขาเสียความมั่นใจ แต่เรามั่นใจว่าเราทำได้
การจากไปของแม่ เหตุกาณ์สุดสะเทือนใจในชีวิต
จนมามีเหตุการณ์สำคัญในชีวิต ก็คือคุณแม่เสีย ถูกฆาตกรรม วันนั้นจำได้ว่าน้าเขยโทรศัพท์มาบอกว่า ให้มาดูแม่หน่อย บ้านโดนปล้น แม่เขาเสียแล้ว พี่ก็ตัดสินใจกลับบ้านที่พิษณุโลกคืนนั้นเลย พี่ไปถึงโรงพยาบาลเขากำลังจะเย็บคอแม่ แม่โดนทุบด้วยค้อนด้านที่ถอนตะปูนะ 5 แผล 5 ครั้ง แล้วก็ปาดคอ เขากำลังจะเย็บศพแม่พี่ ใช้เข็มแบบเหมือนเบ็ดน่ะ พี่บอกเดี๋ยวขอเย็บเองได้ไหม ทำยังไง ตอนแรกเจ้าหน้าที่ก็ปฏิเสธ พี่ก็ขอเย็บแผลที่คอให้แม่เอง ขอทำให้แม่ครั้งสุดท้าย แล้วพี่ก็ทำ หลังจากนั้นก็ขอให้คนพาไปโรงพัก ขอดูหน้าคนที่จับได้หน่อย พอไปถึงก็ถามเลย แม่ฉันไปทำอะไรเธอ ถึงได้มาทำขนาดนี้ แม่พี่ไม่ได้เป็นคนอย่างงี้นะ ตำรวจเขาก็ให้ยกมือไหว้พี่เพื่อขอขมา น้าเขยก็เลยพาพี่กลับบ้าน ตาก็บอกว่า ตู๋แม่เราทำกรรมเอาไว้ตั้งแต่ชาติปางไหนก็ไม่รู้ ชีวิตมันถึงได้เป็นอย่างนี้ ไม่มีความสุขเอาซะเลย ตอนนี้เขาพ้นกรรมแล้วนะลูก อย่าไปจองเวร จองกรรมใครเขาอีก ไม่งั้นมันจะไม่จบ วันนั้นพี่ก็ยังไม่ได้เชื่อตาหรอกนะ แต่ด้วยความที่ว่าจะต้องทำโน่นทำนี่ก็เลยยุติความคิดนี้ไว้ก่อน
สาเหตุอะไรที่ทำให้มีโจรปล้นบ้าน?
สามีใหม่ของแม่เป็นผู้รับเหมา สะสมพระเครื่องไว้เยอะ ตอนนั้นมีคนเข้ามาติดพัดลมเพดานที่ห้องพระ เห็นพระเครื่องแขวนอยู่ที่ผนัง เขาก็มาทำเป็นตีสนิทเลย จนวันนั้นทำเป็นเอาของมาฝาก แล้วพอดีตอนนั้นฝนตกหนัก เดือนตุลาคมหน้าฝน มันเปิดทีวีเสียงดังเลยนะ แล้วก็ไม่ได้ยินเสียงร้องใช่ไหม ก็ทำร้ายแม่พี่แล้วก็ทำร้ายสามีใหม่ของแม่ด้วย แต่เขาแกล้งตายก็เลยรอดมาได้ ส่วนแม่พี่อาจจะสู้หรืออะไรก็ไม่รู้ เลยถูกทำร้ายสาหัส
ความสูญเสียครั้งใหญ่ ทำให้เริ่มเข้าใจชีวิตมากขึ้น
หลังจากแม่เสียพี่รู้สึกว่าชีวิตมันหมดทุกสิ่งทุกอย่าง มันปลง คือชีวิตแม่เจอชะตากรรมขนาดนั้นแล้ว จะอะไรขนาดนี้ พี่ก็เลยอยู่แบบซังกะตาย งานก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง คือมันไม่มีใจจะทำอะไรเลย กินข้าวก็นึกถึงแม่ ฟังเพลงที่แม่ชอบก็นึกถึงแม่ แต่พอถึงช่วงเงินหมด ไม่มีจะกินก็ไปทำงาน แล้วก็หยุด เรียกว่าหามื้อกินมื้อ ใช้ชีวิตแบบนี้ไปจนกระทั่งวันหนึ่งพี่ก็ลุกขึ้นมาใหม่ เริ่มคิดได้ว่าไม่ใช่เราคนเดียวนะที่เสียแม่ ในโลกนี้มันคงไม่มีใครอยู่ยงคงกระพันหรอก พ่อก็เสียไปแล้ว แม่ก็เสียแล้ว แล้วยังไงละ ตัวเราเองก็ไม่รู้จะตายยังไง จะตายเมื่อไหร่ ก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าชีวิตมันต้องหาความหมายว่าอยู่ทำไม อยู่เพื่ออะไร ในเมื่อทุกอย่างมันมีสองด้าน ในเมื่อเราอยู่ในด้านที่เราอาจจะคิดว่ามันดาร์กมาตลอด โศกเศร้าชิบเป๋งเลย ชีวิตมันจะอะไรขนาดนั้น แสนสาหัสเหลือเกิน แต่ต่อไปนี้จะไม่เศร้าแล้ว กลับตะเข็บชีวิตมันซะเลย เอาอีกด้านนึงออกมา เวลาใครถามถึงชีวิตในอดีตก็เล่าแบบมันๆ ไปเลย จะไม่เศร้าอีกต่อไปแล้ว
บทพิสูจน์ชีวิต กับการเปิดร้านทำผม
ก่อนเปิดร้านทำผมก็ทำหลายอย่าง เยอะแยะเลย ก็เจ๊งไปหลายอย่างละ ขายทุกอย่าง ผลไม้ก็มี ขายเสื้อผ้าบ้าบอคอแตกไปเรื่อยๆ แล้วก็ทำผมไปด้วย เพราะพี่ชอบงานศิลปะอะไรก็ได้ที่เป็นศิลปะ แต่ทีนี้เมืองไทยมันไม่ใช่เมืองเสพศิลป์ไงก็เลยคิดว่าทำผมดีกว่า อยู่กับความจริง เลยเอาเงินเก็บก้อนสุดท้ายที่สะสมมาเปิดร้านเล็กๆ จนถึงตอนนี้ก็ทำมา 18 ปีแล้ว ตอนเปิดร้านก็คิดว่านี่เงินก้อนสุดท้ายของชีวิตละ เดี๋ยวเราจะต้องพิสูจน์อะไรบางสิ่งบางอย่างที่ว่ามันไม่เหมือนคนทั่วไป ระหว่างทางที่พิสูจน์พี่เป็นคนชอบคิดนอกกรอบ แล้วก็มีเสียงค้าน พาดพิงถึงนั่นถึงนี่เยอะพอสมควร
ค้นหาสไตล์ตัดผมของตัวเอง
เวลาตัดผมพี่เอาความคิดของพี่เป็นพื้นฐาน เวลาลูกค้ามาพี่จะไม่ตามใจ พี่จะออกแบบความเป็นจริง ให้อยู่กับความจริง แล้วก็มันย่อมเป็นที่ไม่พึงพอใจของลูกค้า พี่ก็พิสูจน์ด้วยวิธีการต่างๆ นานาจนแบบท้อ ท้อที่ว่าทำไมไม่มีใครเข้าใจสักทีว่าผมที่สวยมันเป็นยังไง ผมที่สวยคือคุณต้องไม่ทำอะไร แล้วคุณสามารถสวยได้เลย ไม่ใช่ว่าสวยจากฝีมือช่างอย่างเดียว คุณต้องทำเองด้วย แบบว่าไม่ต้องเซ็ตก็สวยได้ จนสุดท้ายก็เริ่มมีคนชม มีคนยอมรับในฝีมือ แต่บางทีลูกค้ามาเห็นพี่สไตล์แบบนี้เขาเดินหนีก็มี พี่บอกก็แล้วแต่คุณ ถ้าตัดสินภาพเราด้วยแบบนั้น ก็เราก็ไม่ต้องเจอกัน ประเทศนี้มีคนให้ทำตั้งหลายล้านคน ไม่ใช่คุณสักคนก็ไม่เป็นไร ฉันต้องการคนที่เก็ทฉันเท่านั้น พี่จะไม่มีวันเป็นคนอื่นเลย แต่พอมีโซเชียลขึ้นมา พี่ก็ออกตัวไปเลยทางเพจร้านว่าพี่เป็นแบบนี้ บอกผ่านเพจไปเลยว่าเป็นคนพันธุ์นี้ ถ้าอยากจะมาก็สกรีนมาเลยแล้วกัน สกรีนดิฉันไปเลย โปรดสกรีนดิฉันก่อนที่จะมาหากัน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาทั้งสองฝ่าย มาตัดผมไม่ได้มาเปลี่ยนชีวิต จะอะไรนักหนา
การตัดผม คือการสร้างงานศิลปะ
พี่คิดเสมอเวลาตัดผมมันเหมือนพี่วาดรูปบนหัวคน แล้วพี่จะไม่เฟคเด็ดขาด พี่ไม่ชอบไดร์ผม เพราะฉะนั้น เป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะไดร์ผมตลอดเวลา มันต้องสวยแบบธรรมชาติของมัน ลายเส้นของมันต้องเป็นทิศทางของมัน แล้วส่วนที่พี่มั่นใจนะว่างานของพี่ พี่เดินมาถูกทาง เพราะเสียงตอบรับที่กลับมา พี่จะไม่มีวันพูดเลยนะคำเนี่ย ถ้าตลอดเวลา 20 ปีเนี่ย พี่ไม่ยืนซอยผมทีเดียว 8 ชั่วโมงทุกวัน พี่คิดว่าพี่ผ่านการพิสูจน์แล้ว พี่ทดสอบแล้ว แล้วมันเป็นไปได้จริงๆ เวลาพี่จับกรรไกรทุกอย่างพี่ลืมหมด พี่เห็นแต่ภาพลักษณ์ดีๆ ในคาแรคเตอร์ดีๆ ของเขาและเธอคนนั้นที่มาให้พี่ทำผม
สิ่งที่ภูมิใจในการเลือกเดินสายอาชีพช่างทำผม
พี่ภูมิใจที่ตัวเองได้พิสูจน์อะไรๆ หลายอย่าง แล้วก็ผ่านการทดสอบว่าสิ่งที่เราคิดถูกจริง ตราบใดที่เราใส่จิตวิญญาณไปในอาชีพ ในงาน อาชีพที่เราไม่ได้รักนะ แต่เราเลือกที่จะทำมัน แล้วเสียงตอบรับมันกลับมา เป็นเพราะว่าตัวเราใส่จิตวิญญาณเข้าไป พี่ก็ภูมิใจกับมันเสมอ ไม่ว่าลูกค้าคนนั้นจะเป็นใครมาจากไหน ทุกศีรษะที่พี่จับ พี่ภูมิใจเสมอ ไม่ว่างานจะออกมาแบบไฮโซโลว์โซอะไรก็แล้วแต่ พี่ภูมิใจทุกเรื่องในสิ่งที่ตัวเองทำ และถ้าวันนี้คุณแม่ยังอยู่ก็อยากจะบอกว่า “แม่ หนูตั้งชื่อร้านนะ Mum & Me คิดถึงแม่ รู้สึกว่าชื่อร้านมันมีพลัง ทำให้หนูฟันฝ่าอุปสรรคไปได้”
ฝากถึงช่างผมรุ่นใหม่ หรือใครที่อยากลองทำงานนี้
ช่างผมเป็นอาชีพที่ทำให้พี่มีวันนี้ มีทุกอย่าง พี่ตั้งมั่นไว้เลยว่า จะไม่ยอมให้ใครย่ำยีอาชีพนี้ ถึงแม้จะเป็นอาชีพที่ไม่รักก็ตาม แต่พี่เลือกที่จะทำแล้ว พี่จะคุ้มครองดูแลปกป้องอาชีพช่างผมให้ดีที่สุด ถ้าถามถึงสิ่งที่อยากฝากถึงช่างผมรุ่นใหม่ๆ ก็อยากบอกว่าทำๆ ไปเถอะ ประสบการณ์มันจะสั่งสอนเอง แล้วถ้าคุณคิดว่าการทำผมเป็นงานศิลปะ คุณอย่าไปทำร้ายมัน คุณต้องซื่อสัตย์กับสิ่งที่คุณทำ แล้ววันหนึ่งถ้าคุณเป็นตัวจริงเสียงจริง เสียงตอบรับย่อมกลับมาเสมอ
เรื่องราวชีวิตของ “พี่ตู๋-ศรารัตน์ คำสำรวย” พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความยากลำบากและอุปสรรคต่างๆ ได้หล่อหลอมให้เธอกลายเป็นนักสู้ชีวิตตัวจริง ที่สามารถเปลี่ยนทุกวิกฤตให้เป็นบทเรียนชีวิต เป็นโอกาสได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเองให้พร้อมเผชิญหน้ากับทุกปัญหา สำหรับใครที่กำลังท้อแท้เพราะเจอมรสุมชีวิต ขอให้ลุกขึ้นมาและสู้อีกครั้ง เส้นทางข้างหน้าย่อมสดใสเสมอ