ชีวิตในวัยเด็กของใครหลายๆ คนก็คงหมดไปกับเรื่องสนุกสนาน ไร้สาระไปวันๆ โดยที่ยังไม่รู้จักการวางแผนชีวิต เช่นเดียวกับช่างผมชื่อดังท่านนี้ “อ.โบ้-วรพันธ์ เลิศวิริยะประภา” แห่ง Kespaiboon Hair Salon ที่ใช้ชีวิตวัยรุ่นแบบไร้เป้าหมายจนใครๆ ก็ดูถูกว่า ‘ไม่มีอนาคต’ แต่วันหนึ่งได้มีสิ่งที่มาจุดประกายให้เปลี่ยนความคิดและอยากใช้ชีวิตให้ดีกว่าเดิม พร้อมกับพัฒนาตัวเองแล้วไปคว้ารางวัลแชมป์ผมระดับโลก และทุกวันนี้ก็ได้รับยกย่องให้เป็นกูรูด้านการเกล้าผมของเมืองไทยอีกด้วย มาติดตามเรื่องราวชีวิตที่น่าสนใจและสร้างแรงบันดาลใจดีๆ ของ อ.โบ้ พร้อมๆ กัน
ชีวิตของเด็กที่ยังไร้เป้าหมาย
ต้องขอเริ่มจากตรงนี้นะครับ พี่เป็นหลาน อ.ไพบูลย์ เลิศวิริยะประภา แชมป์ผม Asia Pacific ตอนนั้น อ.ไพบูลย์กำลังสร้างเนื้อสร้างตัว เปิดร้านทำผมอยู่ในตลาดจังหวัดลพบุรี บ้านของพี่อยู่ในซอยใกล้ๆ กัน ซึ่งตัวพี่เองก็ไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวยอะไร จำได้ว่าเกิดมาก็จะเห็นแม่ทำงานทุกอย่างเลย ทำงานหนักมากๆ แต่ด้วยความที่แม่รักเรา ก็เลยไม่ค่อยจะอะไรกับเรามากนัก จนกระทั่งคุณพ่อเสีย แม่ก็ต้องหาเลี้ยงครอบครัวคนเดียวแล้ว พอดีกับพี่เข้าเรียนชั้นมัธยมเลยมาพักอยู่ที่ร้าน อ.ไพบูลย์ ทำให้เริ่มซึมซับบรรยากาศ ได้เห็นวิธีการทำผมเป็นอะไรยังไง แต่ก็ยังไม่คิดนะว่าวันหนึ่งเราต้องเป็นช่างทำผม แล้วก็ไม่ได้นึกถึงอนาคตว่าจะทำอะไร
จนกระทั่งพี่สาวแต่งงาน มีครอบครัว พี่ก็ย้ายมาอยู่กับพี่สาว ตอนนั้นพี่สาวมาทำงานอยู่ที่ร้าน อ.ไพบูลย์ เขาก็อยากให้พี่เป็นช่างผม แต่พี่ก็ยังไม่ทำแล้วกลับไปอยู่ที่บ้านแม่ ตอนนั้นแหละมันเป็นช่วงที่ใช้ชีวิตแบบ ถ้าเรามามองตอนนี้นะ เราคิดว่าช่วงนั้นมันไร้สาระมาก เจอเพื่อนก็กินเหล้ากินเบียร์ หรือไม่ก็ไปเที่ยว ถ้าอยากได้ตังค์เหรอก็ขอแม่ หรือบางทีก็หยิบตังค์เองเลย โดยที่เราไม่รู้เลยว่า เฮ้ย! แม่เขาลำบากนะกว่าที่จะหาเงินได้ แล้วตอนนั้นสอบเทียบ ม.6 ได้แล้วก็ยังไม่เรียนต่อมหาวิทยาลัย รู้สึกว่ามันก็สบายดีนะชีวิตแบบนี้ ไม่ต้องทำงาน แม่ขายของแล้วก็มีเงินให้เราอะไรแบบนี้ เราก็อยู่ของเราไป ก็ยังไม่เห็นว่าอนาคตมันคืออะไร แล้วชีวิตเราจะต้องดำเนินไปแบบไหนยังไง ก็ยังไม่คิดเลย
เหตุการณ์ที่ทำให้แม่ร้องไห้ จนกลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต
จนวันนึงเราไปเที่ยวเตร่กลางค่ำกลางคืนก็ตามปกติ แม่ก็ต้องนั่งรอเปิดประตู ตอนนั้นแม่ก็เริ่มแก่แล้วนะ ทำงานทุกสิ่งอย่างที่แม่ก็ไม่เคยบ่นเลย แต่วันนั้นพี่กลับมาถึงแม่ก็ถามว่า ‘จะเอายังไงเนี่ย อยากจะเอาชีวิตเป็นแบบไหน จะมาอยู่ไม่ได้นะที่นี่ มันไม่มีอนาคต’ พี่ก็ตอบกลับว่าไม่อยากนี่ อยู่แบบนี้ก็ได้นี่นา อยู่กับแม่แบบนี้ไง คือตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรเลย แต่ปรากฏว่าแม่ร้องไห้เลย ปกติเราไม่เคยเห็นแม่เราร้องไห้ ทำให้นึกในใจเลยว่าใครก็ตามแต่ที่ทำแม่ร้องไห้โคตรบาปสุดเลย ทำให้พี่รู้สึกว่า เฮ้ย ไม่ได้แล้ว ถ้าเราอยู่แบบนี้ต่อไป วันนี้แม่ร้องไห้เพราะเราไม่ไปทำอะไร วันหน้าถ้าเรายังอยู่แบบนี้อีก เชื่อเลยว่าแม่คงต้องช้ำใจตายเพราะเรา คือแม่เลี้ยงลูกมาตั้ง 3 คนมาแล้ว พี่สองคนเขาก็ไปมีอนาคตที่ดีแล้ว เหลือเราอีกคนเดียว ต้องมารับภาระเลี้ยงดูเรา แล้วเราก็โตขึ้นทุกวันแต่แม่แก่ลงทุกวันแบบนี้ พี่ก็รู้สึกว่า แม่ ไม่เป็นไรงั้นเดี๋ยวไปเรียนทำผมก็ได้ คือแม่ตั้งใจว่าอยากให้เราเป็นช่างทำผม เพราะว่าเห็นอาเขาเจริญรุ่งเรืองในอาชีพนี้ แล้วพี่สาวพี่ชายเขาก็อยู่ในวงการนี้ด้วย อีกอย่างนึงแม่เขาก็ไม่ได้มีเงินมากมายในการที่จะมาส่งเราเรียนมหาวิทยาลัย หรือไปกรุงเทพฯ ได้ด้วย
ซึ่งพี่ก็มาคิดว่าอันนั้นก็ไม่ใช่ความผิดของแม่ เพราะทุกคนเกิดมามันเลือกไม่ได้ แต่เราเลือกได้ว่าเราจะทำอะไรให้กับชีวิตของเรา แล้วจะเดินไปทางไหน ซึ่งก่อนหน้านี้เรายังเลือกไม่ได้ เพราะยังไม่มีแสงสว่าง หรือยังไม่มีคนที่มาจุดประกายให้เรารู้สึกว่าเราจะต้องทำอะไรกับชีวิต ต้องบอกว่าแม่นี่แหละเหมือนฉุดเราขึ้นมาจากชีวิตที่ตอนนั้นเราคิดว่ามันเป็นความสุขไง แต่คนอื่นเขาดูแล้วมันเหมือนโคลนตม ยังไงๆ มันก็ไม่มีอนาคต แต่ตัวเรายังไม่เข้าใจ นี่แหละเป็นจุดหนึ่งที่เริ่มมีความรู้สึกว่า เฮ้ย เราต้องทำเพื่อแม่แล้วนะ หรือต้องทำเพื่อตัวเราเองแล้ว
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เส้นทางใหม่สู่การเป็นช่างทำผม
หลังจากตัดสินใจได้แล้วพี่ก็กลับไปหาพี่สาว เริ่มเข้าไปเรียนรู้การทำผมอย่างจริงจังกับ อ.ไพบูลย์ ซึ่ง อ.ไพบูลย์ก็เริ่มสอนเราทุกอย่าง แต่ว่าเริ่มเรียนพื้นฐานจากที่โรงเรียนเพราะว่าตอนนั้นเขามีโรงเรียนอยู่แล้ว ก็ให้เราช่วยเริ่มทำงาน เริ่มที่ร้าน ก็คือเปรียบเสมือนกับเป็นช่างคนนึง ไม่มีสิทธิพิเศษอะไร เพราะว่า อ.ไพบูลย์ต้องการสอนให้เราทำด้วยตัวเองทุกอย่าง ถ้าอนาคตเราจะเป็นช่างที่ดีเราจะต้องเริ่มต้นเรียนรู้เหมือนกับที่เขาเคยผ่านมาก่อน ก็เลยเริ่มจากคอยส่งกิ๊บ ส่งไดร์ เก็บกวาดนู่นนี่นั่นอยู่ในร้านทำผมของ อ.ไพบูลย์ จนพี่อายุเกือบๆ 20 ปี อ.ไพบูลย์ก็เลยส่งมาเรียนทำผมในกรุงเทพฯ ยุคนั้นก็จะมีโรงเรียนดังๆ อย่างเกศสยาม เกตุวดี ดวงดาว แล้วก็มีเทพวัญ ก็เป็นอีกโรงเรียนหนึ่งที่ฮอตอยู่ตอนนั้น ก็มาเรียนอยู่ประมาณ 3-4 เดือน จากนั้นเรียนจบก็กลับมาที่ร้าน อ.ไพบูลย์
เริ่มเข้าสู่เส้นทางการประกวดทำผม
หลังจากเรียนทำผมสักพัก ก็เริ่มคิดว่าถ้าเราไม่เลือกเส้นทางการเป็นช่างผมเนี่ยอนาคตเรามองเห็นได้เลยว่ามันแย่แน่ๆ เราก็เริ่มจริงจังมากขึ้น จนกระทั่งเรียนจบ ที่โรงเรียนมีประกวดทำผมกันเราก็ลองไปประกวดทำผมครั้งแรก เป็นผมเกล้า ตอนนั้นก็ได้รางวัลของโรงเรียน จนกระทั่งมีการแข่งขันใหญ่ WorldSkills คัดเลือกเยาวชนอายุไม่เกิน 23 ปี ตอนนั้นจัดครั้งแรก พี่ก็ตั้งใจมากเพราะว่าอยากลงรายการนี้ เพราะว่าถ้าได้ก็จะเป็นตัวแทนของประเทศไทยไปแข่งที่ไต้หวัน ซึ่ง อ.ไพบูลย์ก็ช่วยหานางแบบ แล้วก็สอนถ่ายทอดวิทยายุทธทุกสิ่งอย่างให้เราเลย ปรากฏว่าเราก็ได้แชมป์ระดับเยาวชน ได้ไปแข่งที่ไต้หวัน แต่เนื่องจากตอนนั้นยังไม่เคยมีประสบการณ์แข่งขันที่เมืองนอก ก็เลยได้เป็นระดับ Top Ten
แล้วก็พอมาอีกรายการหนึ่งประกวดเซ็ตผมแห่งประเทศไทย ตอนนั้น อ.ไพบูลย์ก็ส่งพี่ไปเทรนไปเรียนกับ อ.สกุณา รักษ์สัจจะ ซึ่งเป็นอาจารย์ของ อ.ไพบูลย์อีกทีนึง แต่เป็นการเทรนที่หนักมาก ทนไม่ไหวก็เลยกลับมาบอก อ.ไพบูลย์ว่าไม่เอาแล้วนะ แต่ อ.ไพบูลย์ตอบกลับมาว่า ‘ทำไป ถ้าวันนี้อยากจะให้เขาเรียกเราว่าคุณ ต้องทำไป แต่ถ้าอยากจะให้เขาเรียกว่าไอ้ ไม่ต้องทำ เลิกไปซะ’ เป็นคำพูดที่ทำให้เราคิดได้ก็เลยตั้งใจเทรนอีกครั้งจนได้แชมป์มาเป็นผลสำเร็จ
บทเรียนชีวิตครั้งสำคัญจากการประกวดทำผม
พี่เคยไปแข่งขันที่เวทีนึง เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เรารู้สึกว่าล้มเหลวมาก ก็คือการคัดตัวไปแข่ง Asia Pacific จัดที่เมืองเพิร์ธ ออสเตรเลีย สำหรับพี่ก็ได้ที่ 1 ได้เป็นตัวแทนไปแข่ง แต่ก็เคยมีคนเคยเล่าให้ฟังว่า ถ้าไปแข่งเมืองนอกเนี่ยระวังนางแบบมันจะเบี้ยว เราก็บอกโอ๊ย ไม่เจอหรอก ไปตั้งหลายคน จนกระทั่งเราไปถึงสถานที่แข่งได้เลือกนางแบบเสร็จแล้ว สวยมากเลยนะ ก็ไปพักโรงแรมเดียวกัน ปรากฏว่าตื่นเช้ามาเราไปตามเขาที่ห้อง เจอแต่โน้ตที่เขาเขียนทิ้งไว้ว่า ‘ฉันเสียใจด้วยนะ แม่ฉันเข้าโรงพยาบาล และเขาก็ต้องไป’ ตอนนั้นจะแข่งอยู่ประมาณ 10 โมงแล้ว แต่ 7 โมงไม่มีนางแบบ เรารู้สึกเฟลมาก รู้สึกแบบว่าวูบเลย แต่ก็ต้องหานางแบบใหม่ เพื่อนนางแบบของน้องอีกคนที่เขาเป็นคนออสเตรเลียก็แนะนำให้ ก็รีบนั่งแท็กซี่ไปเลยนะ ไปรับเขาถึงที่บ้านเลย ปรากฏว่าพอไปเจอปุ๊บเนี่ยหน้าสวยมาก แต่หุ่นแบบว่าอ้วนมาก ตัวใหญ่มาก แล้วชุดก็ใส่ไม่ได้อีก สรุปว่าเราก็พลาดจากรางวัลครั้งนั้นไป เพราะทำทรงผมที่เตรียมไปไม่ได้ สีผมก็ทำไม่ได้อย่างที่วางแผนไว้ เราก็รู้สึกผิดหวังเหมือนกันนะ แต่คิดว่าไม่เป็นไรหรอก มันก็คงต้องเป็นช่วงชีวิตนึง แล้วพอมาอีกปีนึงเขาก็มีจัดประกวดอีก เราก็เอาใหม่ คราวที่แล้ว Asia Pacific ไม่ได้ใช่ไหม เออคราวนี้ยังไงก็ต้องได้ ลงอีกครั้งทั้งผมเกล้า ผมซอยด้วย ตอนนั้นจัดที่โคลอมโบ ศรีลังกา คนแข่งก็เป็นร้อยเหมือนกัน คราวนี้ขอโทษนะ ไม่หวังนางแบบข้างหน้าแล้ว จ่ายตังค์ให้น้องนางแบบเอาของเราไปเองเลย อุ่นใจสบายใจกว่า สุดท้ายเราก็ได้แชมป์ Asia Pacific อันนั้นมาเป็นของเรา
การไปประกวดทำผมที่ต่างประเทศให้อะไรกับเราเยอะมาก และการเป็นช่างทำผมก็สอนให้เรารู้ว่าชีวิตมันไม่ได้สวยงาม ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ บางทีอาจจะโรยด้วยกลีบกุหลาบก็ได้ แต่ว่าเราดันไปเหยียบเอาหนามของกุหลาบ แล้วถ้าสมมุติว่าเราเหยียบหนามอันนั้นมาแล้วเนี่ย แล้วเราเอามาติดกับตัวเรามาตลอดชีวิต ไม่ยอมแกะหนามกุหลาบนั้นออกไปรักษาแผล แล้วก็ไม่หยิบกุหลาบดอกใหม่มา รับรองว่าเราก็คงจะจมปลักกับสิ่งที่เราเจ็บช้ำวันนั้น ถ้าพี่เลิกประกวดวันนั้น ก็คงจะทำให้เราไม่มีแรงผลักดันในการที่จะก้าวมาแน่นอน
บทบาทใหม่กับการเป็นครูสอนทำผม
ในช่วงที่เริ่มทำงานจริงจังสักพัก ก็คือว่าโอเคการประกวดเราต้องหยุดแล้ว เพราะเราได้รางวัลแล้ว เราก็เริ่มสอนน้องๆ ที่เขาอยากจะมาเป็นแชมป์เหมือนกัน แต่ว่าที่ร้านเป็นโรงเรียนด้วย เราก็ต้องสอนด้วย แล้วก็มีสอนร่วมกับบริษัทที่เราเซ็นสัญญาไว้ด้วย ซึ่งทางบริษัทก็จะมีการส่งให้เราไปเรียนแล้วกลับมาเผยแพร่ส่งต่อความรู้ให้ช่างผมผ่านช่องทางต่างๆ และตอนนี้ก็มีอีกหนึ่งบทบาทใหม่ เป็นการสอนทำผมออนไลน์บนแพลตฟอร์มที่ชื่อ Teach By Guru ถ้าเป็นสมัยก่อนเราก็จะนึกถึงกันว่าเรื่องของการทำผมต้องสอนแบบตัวต่อตัวเท่านั้น แต่ตอนนี้ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว วิธีการเรียนรู้ วิธีการเสพสื่อของคนเริ่มมากขึ้น เพราะฉะนั้นการสอนออนไลน์เริ่มมามีบทบาทแล้ว มันเข้ามาอยู่ในใจเราก่อนนะ แล้วรู้สึกว่าเราต้องเริ่มแบบนี้แล้วล่ะ ในการที่จะให้คนเขาได้รู้ว่าองค์ความรู้ของกระบวนการเรียนทำผม มันต้องมาจากการเรียนรู้ คือดูก่อน ดูแล้วทำ แล้วนำไปพัฒนาฝีมือต่อยอดกันต่อไป ในส่วนของตัวพี่ก็จะสอนเรื่องของการเกล้าผม ในชื่อคอร์สการเกล้าผมขั้นพื้นฐาน หรือ Basic Hair Updo นอกจากนี้ ยังมีเหล่ากูรูช่างผมตัวจริงมาร่วมสอนคอร์สต่างๆ อีกด้วย ทั้ง ดร.สมศักดิ์ ชลาชล และ ดร.ทศพร นพวิชัย ก็เป็นโปรเจ็กต์อีกนึงที่คิดว่าน่าจะต้องตอบโจทย์สำหรับการเรียนทำผมในอนาคตแน่ๆ ครับ
ฝากถึงช่างทำผมรุ่นใหม่
การเริ่มต้นอาชีพช่างทำผมของแต่ละคนก็ต่างกันไป บางคนเริ่มต้นง่าย บางคนเริ่มต้นยาก แต่ว่าการจะดำเนินไปให้มันอยู่อย่างนี้ไปมันก็เป็นสิ่งที่ยากกว่า เพราะฉะนั้นเราเดินทางมาตรงจุดไหนของชีวิตก็แล้วแต่ อยากให้มีกำลังใจ ความรักในอาชีพของเรา ซื่อสัตย์สุจริต พี่ว่ามีความสำคัญมาก และที่สำคัญที่สุดก็คือมีความอดทน แม้ว่าตอนนี้จะต้องเจอกับวิกฤตอะไรก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องทำให้ลูกค้าประทับใจได้ตลอด นั่นคือตัวของเรา ถ้าเรารักตัวของเรา เราก็ต้องรักลูกค้าของเรา แล้วก็รักในอาชีพของเรา แล้วก็ทำให้ดีที่สุดเลยครับ ทำสิ่งต่างๆ ที่เราทำออกจากตัวเราไปให้ดีที่สุด ก็เป็นการให้กำลังใจ และเพื่อที่จะให้วงการช่างผมของเราไม่ได้หยุดแค่เราแค่นี้ เพราะเรายังมีรุ่นต่อๆ ไปด้วยครับ
เพราะชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เมื่อเราค้นพบเป้าหมาย พบเจอสิ่งที่รัก ก็ขอให้มุ่งมั่นทำให้เต็มที่ ไม่ว่าจะเหยียบหนามกุหลาบไปกี่ครั้ง หรือเจออุปสรรคอะไรก็ตาม ขอเพียงมุ่งมั่นเดินหน้าต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ จุดหมายอยู่ไม่ไกลอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับที่ “อ.โบ้-วรพันธ์ เลิศวิริยะประภา” ทำได้สำเร็จ และกลายมาเป็นกูรูด้านการเกล้าผมแห่งยุคนี้
สำหรับใครที่อยากเรียนเกล้าผมออนไลน์กับ อ.โบ้ วรพันธ์ คลิกเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.TeachByGuru.com หรือที่ Facebook Fanpage หรือ IG : Teach By Guru