หลังจากเมื่อวันที่ 3 พ.ค. 63 ภาครัฐผ่อนปรนให้เปิดร้านทำผมได้ แต่ให้ทำได้แค่ตัด สระ ไดร์ เท่านั้น ส่วนร้านตัดผมในห้างสรรพสินค้าก็ยังต้องรอการพิจารณา ยังไม่สามารถเปิดได้ในตอนนี้ แล้วช่างผมไทยจะต้องปรับตัวหรือปฏิบัติตนอย่างไรเพื่อจะได้เปิดบริการได้มากกว่านี้ ช่วงเวลา “14 วัน” นับจากได้เปิดร้าน ถือเป็นช่วงเวลาชี้ชะตาของช่างทำผมเลยทีเดียว มาติดตามข้อเสนอแนะจาก “ดร.สมศักดิ์ ชลาชล” นายกสมาคมวิชาชีพช่างทำผมไทย และประธานกรรมการ บริษัท ชลาชล จำกัด พร้อมกับแนวคิดดีๆ เพื่อช่างผมไทยจะได้ผ่านวิกฤตินี้ไปได้
ดร.สมศักดิ์ ชลาชล ได้เผยความรู้สึกในเรื่องที่ร้านทำผมเป็น 1 ใน 6 กิจการที่รัฐอนุญาตให้เปิดบริการกลุ่มแรกไว้ว่า “รู้สึกว่าวิกฤติครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีสำหรับอาชีพช่างทำผม รู้สึกดีใจที่ช่างทำผมเป็น 1 ใน 6 อาชีพ 6 สถานที่ที่เข้าไปนั่งอยู่ในใจผู้คนที่อยากให้เปิดบริการ และก็เป็นหนึ่งในกลุ่มอาชีพที่ได้เปิดในเฟสแรก และสิ่งสำคัญก็คือเราก็ต้องมาดูกันว่าหลังจากได้เปิดแล้วช่างทำผมควรสร้างมาตรฐานอย่างไร”
ส่วนเรื่องมาตรการด้านสุขอนามัยต่างๆ ที่รัฐออกข้อกำหนดมานั้น ดร.สมศักดิ์ ชลาชล ระบุว่า “จริงๆ แล้วเป็นสิ่งที่มีอยู่ในอาชีพเรามากว่า 30-40 ปีแล้ว ในอดีตเราจะเห็นว่าช่างทำผมต้องใส่แมสก์ ใส่เสื้อกราวน์ และช่างทำผมจะต้องตรวจร่างกาย ตรวจปอดทุกปีเพื่อป้องกันโรคเรื้อนและวัณโรค และในร้านทำผมก็จะมีโถใส่แอลกอฮอล์ไว้สำหรับแช่ทำความสะอาดอุปกรณ์ตัดผม ส่วนอนามัยท้องถิ่นก็จะเข้มงวดมาก แต่ระยะหลังสิ่งเหล่านี้เริ่มหย่อนยาน แต่พอมีโรคระบาด มีโควิด-19 เกิดขึ้นก็เลยทำให้พวกเราต้องหันกลับมาใส่ใจเรื่องพวกนี้มากขึ้น ซึ่งก็ถือว่าเป็นผลดีครับ”
แต่ช่างผมส่วนใหญ่ก็ยังวิตกกังวลในเรื่องรายได้ที่อาจจะลดน้อยลง เพระช่วงที่เพิ่งคลายล็อกดาวน์แบบนี้รัฐอนุญาตให้ทำได้แค่ตัด สระและไดร์ ซึ่งในความเป็นจริงรายได้หลักๆ คือ การทำเคมี ทำสี ดร.สมศักดิ์ ชลาชล ขอให้ช่างผมอดทนเพื่อความอยู่รอด ให้กำลังใจและแนะช่างผมไทยใช้โอกาสนี้หันมาเสริมสร้างมาตรฐานวิชาชีพช่างผมไทยให้อยู่ในแถวหน้าของโลก
“อยากฝากช่างทำผมทั่วประเทศ ในฐานะนายกสมาคมวิชาชีพช่างทำผมไทย สถานการณ์คราวนี้มันต้องให้เราเป็น New Normal คิดใหม่ ทำใหม่ แล้วเราต้องเข้าใจว่าเราอย่าอยู่แบบประมาท อยากให้ช่างทำผมทุกคนมีจรรยาบรรณแล้วก็มีหลักฐานในการเป็นช่างทำผมที่แท้จริง แล้วอย่าเปลี่ยนอาชีพกันบ่อย แล้วมาพัฒนาวงการนี้ เชื่อว่าในอนาคตอีกไม่นาน ปี สองปีนี้ หลังจากที่มีวัคซีนมาประเทศไทยหรือเอเชีย จะเป็นที่หนึ่งของโลก คนพวกนี้จะมาใช้บริการ ในภาคบริการ เราจะกลับมาสดใสมาก อยากให้ช่างทำผมเตรียมตัวกับวิกฤติตรงนี้ แล้วพัฒนาตัวเอง พัฒนาฝีมือ พัฒนาร้าน ให้มีความถูกต้องตามมาตรฐาน เพราะอนาคตรับรองว่าเรารุ่งเรืองแน่ครับ”.
สุดท้าย ดร.สมศักดิ์ ชลาชล ย้ำเตือนอนาคตช่างผมไทย จะได้ไปต่อหรือต้องถูกสั่งปิด ขึ้นอยู่กับการบริการใน 14 วัน “จากวันที่ 3 พ.ค. บวกไปอีก 14 วัน 14 วันนี้ หากไม่มีอะไรเลย เขาก็จะอนุญาตให้คุณเพิ่มขึ้น แต่ถ้าใน 14 วัน หากมีติดเชื้อ หรืออะไรติดต่อในร้านทำผม กลับไปยืนที่เดิมใหม่ ดังนั้น จำไว้เลย เราจะรอดหรือไม่รอด อยู่ที่ 14 วัน จากวันที่เปิด”
ช่วงเวลาสำคัญ “14 วันชี้ชะตา” เช่นนี้ ก็อยากฝากให้พี่น้องช่างผมไทยปฏิบัติตามมาตรการ กฎ กติกาต่างๆ อย่างเคร่งครัด เพื่อจะได้เปิดบริการแบบเต็มรูปแบบกันได้ต่อไปในอนาคต
ขอบคุณข้อมูลจาก ไทยรัฐออนไลน์