เรื่องของการ “ย้อมผม” หรือ “ทำสีผม” เปลี่ยนจากสีธรรมชาติให้เป็นสีสันต่างๆ นานา ไม่น่าเชื่อว่าจะมีมาตั้งแต่ยุคโบราณ และหลายคนคงเข้าใจว่าเป็นเรื่องที่ต้องใช้เทคโนโลยีหรือสารเคมีหลายประเภท แต่ความจริงแล้วคนสมัยโบราณในยุคประวัติศาสตร์มีหลากหลายวิธีในการเปลี่ยนสีผมได้อย่างไม่น่าเชื่อ และเรื่องของสีผมยังสื่อถึงความหมายในหลายด้าน นอกจากจะเป็นเรื่องของแฟชั่นเหมือนกับในปัจจุบันด้วย เรามาย้อนดูกันว่าการย้อมผมในสมัยก่อนมีความสำคัญอย่างไร พวกเขาใช้อะไรย้อมสีผมกันบ้าง และเรื่องนี้มีวิวัฒนาการมาอย่างไร
เรื่องการย้อมผมในสมัยก่อนนั้นมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา โดยนักเทววิทยาได้พบหลักฐานสำคัญในการเปลี่ยนสีผิวและผมของมนุษย์มาหลายพันปีแล้ว อย่างเช่นชนชาวกอล (Gauls) ในอาณาจักรโรมันโบราณ และชาวอังกฤษโบราณแซคซอน (Saxons) นิยมย้อมผมเพื่อแสดงถึงตำแหน่งหน้าที่สำคัญของเผ่า และสร้างอำนาจข่มศัตรูในการรบ ขณะที่ชาวบาบิโลเนียนโบราณนิยมนำทองคำที่เป็นผงมาพรมลงบนศีรษะ เพื่อแสดงถึงฐานะอำนาจและโชคลาภวาสนาจากเทพเจ้าของตน โดยเฉพาะเทวีอิสทาห์ (Ishtar) เทวีแห่งความรัก ส่วนชาวอียิปต์โบราณและชาวกรีกโรมันใช้สีที่มาจากพืชเพื่อย้อมผม แต่นั่นก็คือสีเข้มข้นหรือเฉดสีที่ไม่สว่างมาก เพื่อเป็นการแสดงฐานะทางสังคม
โดยในยุคกรีกโบราณนั้นหญิงสาวทุกคนปรารถนาที่จะมีผมสีบลอนด์ เพราะมีค่านิยมกันว่าเส้นผมที่เปล่งประกายถือเป็นความงามขั้นสูงสุด แต่หญิงสาวชาวกรีกส่วนใหญ่ไม่ได้มีผมสีบลอนด์ ทำให้มีการหาวิธีย้อมสีผมต่างๆ นานา ซึ่งวิธีหนึ่งที่นิยมกันก็คือการย้อมสีผมด้วยสารหนู รวมทั้งยังมีการชำระล้างเส้นผมด้วยขี้เถ้ากับน้ำมันมะกอกและน้ำเปล่าอีกด้วย
ต่อมาในช่วงยุคศตวรรษต้นๆ ระหว่าง ค.ศ.476-1000 ที่เรียกว่า Dark Ages หรือยุคมืด คนผมสีแดงมักหมายถึงพวกแม่มดหรือผู้มีพระเวททางไสยศาสตร์ จวบจนศตวรรษที่ 16 พระราชินีอลิซาเบธที่ 1 ของอังกฤษ ที่ทรงพระนามว่า Virgin Queen (พระราชินีพรหมจรรย์) ถือเป็นบุคคลแรกที่ทำให้ผมสีแดงเป็นที่ยอมรับ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้ “เฮนน่า” สีจากพืชชนิดหนึ่งที่ใช้ในอียิปต์โบราณในการย้อมผม ย้อมผิว หรือทำสีแต่งหน้าของชาวอียิปต์ในราชวงศ์ชั้นสูง อีกทั้งสีที่ได้จากอัญมณีต่างๆ ใช้ในการย้อมผมทั้งสิ้น
จวบจนยุคบาร็อค (Baroque) ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ซึ่งเป็นยุคที่แฟชั่นโด่งดังเฟื่องฟูจากอิตาลี การทำวิกสีต่างๆ เริ่มแพร่หลาย เช่น ชมพู, ขาว, เหลือง ฯลฯ ที่ใช้โทนสีอ่อนๆ จนมีความนิยมสูงกระจายไปทั่วยุโรป ในยุคนี้การใช้สารโพแทสเซียม ไลซ์ (Potassium Lye) และโซเดียมไฮดรอกไซด์ (Caustic Soda) เริ่มนิยมใช้ในยุคนี้เพื่อฟอกสีผมให้สว่างขึ้น ซึ่งสตรีในยุควิคตอเรียนใช้ผมที่ทรีทเมนท์ด้วยวิธีนี้ โดยสวมหมวกปีกกว้าง เจาะรู เปิดออกด้านบนเพื่อรับแสงแดด ที่จะทำให้ผมสีสว่างขึ้นเองจากสารเคมีดังกล่าว ในยุคนั้นผมสีขาวเริ่มเป็นที่นิยมในแวดวงจึงมีการนำแป้งมาทำให้สีผมขาวขึ้น การใช้สารเคมียาฆ่าเชื้อซิลเวอร์ไนเตรต (Silver Nitrate) เพื่อทำให้สีผมเข้มขึ้น และถ้าใช้มากเกินไปก็ทำให้ผมเป็นสีม่วงสวยงาม นั่นคือจุดเริ่มแรกของการใช้สีย้อมผมแบบ Synthetic Hair Dye ที่เราเห็นพวกพั้งค์ใช้กันในปัจจุบันเป็นแฟชั่น ในปี ค.ศ.1800 นักเคมีค้นพบสารพาราฟีนิลีนไดอะมีน (Para-Phenylenediamine : PPD) ในการสร้างสรรค์สีผมงดงาม และได้ค้นพบไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (Hydrogen Peroxide) ที่สามารถเปลี่ยนสีผมได้โดยวิธีนุ่มนวลและปลอดภัย และนั่นเป็นการเกิดสินค้าทางพาณิชย์ขึ้นครั้งแรก แต่ก็ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร
จนกระทั่งในยุค ค.ศ.1960 ช่างผมคนดังในช่วงนั้น คือ นายเดเนียล แกลวิน (Daniel Galvin) เป็นช่างผมคนแรกของโลกในยุค 1960 ก็ว่าได้ที่ทำให้สีผมเป็นที่นิยมไปทั่วโลก เข้าสู่กระแสของอาชีพใหม่ที่เรียกว่า “ผู้เชี่ยวชาญด้านสีผม” หรือ Hair Colorist ในยุคที่นายวิดัล ซาสซูน โด่งดังด้านตัดผม เขาจะมีชื่อเสียงด้านสีผมเป็นคนแรกของโลกที่เริ่มเทคนิคทำสีไฮไลท์ขึ้นเป็นคนแรก และสร้างชื่อในการเปลี่ยนแปลงแฟชั่นครั้งยิ่งใหญ่กับการทำผมสีบลอนด์ให้กับนางแบบดังในยุคนั้นคือ ทวิกกี้ เขาโด่งดังมากมายในยุคนั้น มีลูกค้ามากมาย เช่น เจ้าหญิงไดน่า, นายกรัฐมนตรีมาร์กาเรต แทตเชอร์ จนถึงมาดอนน่า
ในยุค ‘80 การทำสีผมเริ่มโด่งดังและนิยมในญี่ปุ่นเป็นที่แรกในเอเชีย และค่อยๆ มีความนิยมสูงขึ้น จึงทำให้สีผมเป็นที่นิยมไปทั่วโลก ชาวเอเชียที่นิยมผมดำเปลี่ยนแปลงสีผมเป็นสีต่างๆ เป็นแนวนิยมของช่างผมผู้นี้ในยุค 1960-1980 ในปัจจุบันสีย้อมผมมี 4 ประเภทที่ได้รับความนิยมและใช้กัน คือ
1. สีไม่ถาวร อันได้แก่สีที่มีในแชมพู ครีมนวด มูส เจล หรือสเปรย์เปลี่ยนสีผมต่างๆ ที่มีสีปรากฏอยู่ภายนอกผม สามารถเปลี่ยนผมให้เป็นสีชั่วคราว สามารถสระหรือล้างออกได้ง่าย
2. สี Semi-Permanent สีที่เคลือบอยู่ภายนอก ในเนื้อผมนั้นมีส่วนประกอบของ 3 ส่วนในโครงสร้าง คือ ผิวนอก ผิวกลาง และชั้นใน สีประเภทนี้จะอยู่แค่นอกสุด ปิดผมขาวได้ไม่สนิท แต่ทำให้สีผมสดใสขึ้น เราจะเห็นได้แก่สีอบไอน้ำ หรือสีที่ใช้กับพวกพั้งค์
3. สีที่เป็นกึ่งถาวร เราเรียกว่า Demi-Permanent ที่มีส่วนผสมของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์อ่อนๆ เบาบาง ปิดผมขาวได้ 50% และมีโทนสีที่ไม่สว่าง
4. สีผมแบบถาวร ที่มีส่วนผสมของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ สามารถปิดผมขาวและทำให้สีสว่างขึ้น โดยสีจะเข้าไปเปลี่ยนโครงสร้างของสีผม จากผิวนอกจรดภายในแบบถาวร รวมไปถึงการฟอกสี
นอกจากสีย้อมผมดังกล่าวแล้ว ยังมีสีอีกมากมายที่มาจากเฮนน่า ที่เคลือบอยู่ภายนอกซึ่งใช้ไปนานๆ อาจทำให้ผมยากต่อการดัด และทำสีใดๆ ทั้งปวง การใช้เฮนน่าจะดีในยุคโบราณเพราะยังไม่มีมลภาวะมาก ในยุคปัจจุบันการใช้เฮนน่าแล้วใช้ไดร์เป่าผมมากๆ อาจจะทำให้ผมแห้งได้ นอกจากนี้ มีเฮนน่าบางประเภทที่เรียกว่า เมทาลิก เฮนน่า ที่มีส่วนผสมของสังกะสี ใช้ผสมน้ำ ที่เป็นอันตรายต่อร่างกายและสุขภาพมาก เพราะฉะนั้น การการเปลี่ยนสีผมหรือย้อมผมด้วยสีผมแบบแฟชั่นน่าจะใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญด้านสีผมในร้านผมชั้นนำมากกว่าจะซื้อมาใช้เองจะปลอดภัยที่สุด นอกเสียจากการทำสีผมปกปิดผมหงอกหรือเปลี่ยนสีให้สว่างขึ้นเท่านั้น
ขอบคุณข้อมูลจาก อ.ป๊อก เชลซี แห่ง Pok Chelsea Bangkok Hair Salon, นักเขียนกิตติมศักดิ์นิตยสาร Hairworld Plus+ , ภาพจาก : goodhousekeeping , pinterest