ช่างทำผมและร้านซาลอนในปัจจุบันต้องรองรับลูกค้าที่อยากทำสีผมกันมากขึ้น ซึ่งนอกจากช่างทำผมจะต้องรู้เทคนิคและสามารถเนรมิตสีผมได้ตามความต้องการของลูกค้าแล้ว การแนะนำเคล็ดลับดีๆ ให้ลูกค้านำกลับไปใช้ดูแลสีผมกันต่อที่บ้านก็เป็นสิ่งสำคัญ และเป็นอีกเคล็ดลับในการมัดใจลูกค้าให้อยากกลับมาใช้บริการต่อที่ร้านของเรากันแบบยาวๆ อีกด้วย1. ทำความรู้จักกับ Fading
สำหรับช่างผมที่เคยได้ยินคำนี้แต่อาจยังไม่เข้าใจถ่องแท้…ตรงตัวเลย คำว่า “Fading” หมายถึง การชะล้าง การเจือจาง การดรอปของสี อธิบายแบบให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือหลังจากการทำสีเราก็จะพบว่าสีผมเริ่มหลุดเมื่อมีการสระผม ใช้ความร้อน แต่งทรงโดยใช้ผลิตภัณฑ์เซ็ตผม ฯลฯ ทั้งหลายนั่นแหละ เป็นอันรู้กันว่ากระบวนการนี้ไม่สามารถหยุดยั้งได้ แต่ช่างผมมืออาชีพต้องเรียนรู้ที่จะชะลอและให้ความรู้แก่ลูกค้าเพื่อถนอมสีผมให้อยู่ยาวนานมากที่สุด
2. วางแผนล่วงหน้า
เมื่อเรารู้ว่าสีที่ลูกค้าต้องการคือสีอะไร ช่างผมจะต้องมองออกแล้วว่าแต่ละสีนั้นสามารถคงอยู่ได้ประมาณไหน ควรทำเข้มแค่ไหน ผสมเม็ดสีอะไรให้หลุดเป็นอันดับสุดท้าย…จำเอาไว้ว่าสีที่มีส่วนผสมของเม็ดสีแดงเยอะจะติดบนเส้นผมทนทานที่สุด อย่างเช่นสีแดงสด สีไวน์ น้ำตาลมะฮอกกานี ส่วนสีที่บอกลาโลกเร็วที่สุดได้แก่โทนสีพาสเทล อีกอย่างที่ช่างผมควรใส่ใจคืออัตราการดรอปสีของแต่ละยี่ห้อ ต้องรู้ว่าในร้านของเราเลือกผลิตภัณฑ์แบรนด์ไหนเตรียมไว้บริการลูกค้า เพราะแต่ละแบรนด์นั้นความทนทานของเม็ดสีต่างกัน ไม่ควรนำหลักการทำสีเข้มกว่า 1 สเต็ปมาใช้กับทุกกรณี เอาเป็นว่าลองฝึกมือบ่อยๆ เอาเศษผมมาย้อมดูสิแล้วคุณจะรู้ว่าช่วงอัตราการดรอปสีจริงๆ แล้วกว้างมาก 1-3 สเต็ปเลยทีเดียว
3. ก่อนทำสี Clarifying หลังทำสี Damaged
นี่คือเคล็ดลับการเลือกแชมพูที่จำเอาไว้เป็นกฎเหล็กได้เลย ถ้ามัวแต่จำว่าแชมพูขวดเขียวใช้ก่อน แชมพูขวดชมพูใช้หลัง บลาๆๆ วันหนึ่งคุณอาจเบลอได้นะ เรียนรู้คำศัพท์กันซักหน่อยไว้ดีกว่าจะได้ไม่พลาด…แชมพูประเภท Clarifying คือแชมพูที่สามารถทำความสะอาดทั้งเส้นผมและหนังศีรษะได้ล้ำลึก เพราะดีเทอร์เจนท์ที่ช่วยขจัดคราบไขมันและคราบโปรตีนอันไม่พึงประสงค์บนหนังศีรษะค่อนข้างมาก จึงเหมาะที่จะใช้ในการเตรียมสภาพผมให้พร้อมก่อนทำเคมี (แชมพู Clarifying ยังสามารถใช้แก้สี ล้างสีได้ด้วยนะ จะทำให้เม็ดสีหลุดไวขึ้น) ส่วนแชมพูประเภท Damaged คือแชมพูที่มีส่วนผสมในการถนอมเกล็ดผมและตรงเข้าบำรุงล้ำลึก ดังนั้นถ้าอยากให้สีสวยอยู่ทนต้องเลือกแบบนี้ สำหรับบางร้านอาจมีผลิตภัณฑ์พิเศษของแต่ละแบรนด์ที่ผสมเม็ดสีด้วยก็สามารถเลือกใช้ตามโทนสีผมที่เหมาะสมได้เลย ดังนั้นเมื่อรู้แล้วก็ใช้ให้ถูกแล้วอย่าลืมเตือนลูกค้าด้วยนะ
4. อย่าหวงครีมบำรุง
ข้อนี้ไม่ได้หมายถึงให้ช่างผมประโคมใส่ศีรษะลูกค้าเป็นกำ…แต่เราหมายถึงอย่าลังเลที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ทรีทเม้นท์สำหรับผมทำสีที่ดีที่สุดในร้าน ตามซาลอนที่โดดเด่นในเรื่องการทำสีช่างผมมักไม่ต้องเสียเวลามานั่งโน้มน้าวให้ลูกค้าเลือกทรีทเม้นท์ที่ดีให้เปลืองสมอง เพราะในการทำสีผมแน่นอนว่าร้านส่วนใหญ่จะรวมทรีทเม้นท์ให้แล้ว ในโปรแกรมมาตรฐานนั้นแหละ คุณควรเลือกผลิตภัณฑ์ทรีทเม้นท์ที่ดีเอาไว้ในนั้นรวมราคารวมโปรแกรมให้เสร็จสรรพ การทำแบบนี้จะส่งผลดีกับเสียงตอบรับจากลูกค้ามากกว่า เมื่อคุณทำสีผมสวย ผมไม่เสีย ลูกค้าก็บอกปากต่อปาก ไว้โอกาสหน้าถ้าอยากเหลือชาร์ตราคาทรีทเม้นต์ให้ลูกค้าได้เลือกแบบซาลอนทั่วไปเอาไว้แยกเป็นโปรแกรมอบไอน้ำทำทรีทเม้นท์ต่างหากดีกว่า
5. น้ำนั้นสำคัญยิ่ง
เรามั่นใจว่าช่างผมทุกคนรู้ว่าปัจจัยเรื่องคลอรีนและอุณหภูมิของน้ำสัมพันธ์กับการถนอมสีผม แน่นอนว่าเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงคลอรีนที่มาในน้ำประปาได้ แต่สามารถเตือนลูกค้าได้ว่าการว่ายน้ำในสระจะส่งผลต่อสีผมแน่นอน ในส่วนของอุณหภูมินั้นควรใช้น้ำเย็นหรือน้ำธรรมดาในอุณหภูมิห้องสระผม ไม่ควรใช้น้ำอุ่นนะจ๊ะ เพราะบางร้านคิดว่าน้ำอุ่นมันผ่อนคลาย นวดให้ลูกค้าสบายก็โซโล่ซะเลย…เปลี่ยนดีกว่าค่ะ ถ้ากลัวหนาวก็น้ำธรรมดาที่ออกมาจากก๊อกนี่แหละ ไม่ต้องปรับอุณหภูมิซ้ำอีก
6. ล็อคสีผมด้วยความร้อน
ในกรณีอื่นๆ ความร้อนจากไดร์เป่าผม, เครื่องรีดผม, เครื่องม้วนผม ถือเป็นตัวการทำลายสีผม แต่ในกรณีที่ต้องเซ็ตทรงผมครั้งแรกให้ลูกค้าความร้อนถือเป็นองค์ประกอบสำคัญมากๆ โดยเฉพาะเครื่องรีดผมซึ่งถือเป็นหนึ่งเคล็ดลับช่างผมชื่อดังระดับโลกหลายคนที่มักจะไดร์ผมให้แห้งแล้วรีดผมของลูกค้าให้เรียบก่อนอันดับแรก เพื่อเป็นการใช้ความร้อนกดทับทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ อีกประการคือเป็นการเช็กอัตราสีผมที่ดรอปลงครั้งแรก จะทำให้ช่างผมสามารถเห็นได้ว่า ถ้าผมโดนลูกค้าสระแชมพูแรกที่บ้านสีผมจะอ่อนลงประมาณตอนที่โดนเครื่องรีดผมหนีบ
7. เตือนลูกค้าว่าไม่ควรรีบสระผมภายใน 48 ชั่วโมง
หลังจากทำสีผมเสร็จแล้วอย่าลืมย้ำเตือนลูกค้าว่าไม่ควรรีบสระผมภายใน 48 ชั่วโมงหรือ 2 วันนี้ แต่ถ้าลูกค้ารายไหนจะสตรองทิ้งไว้นานกว่านั้นเราก็ไม่ว่ากัน เพราะสำหรับอากาศประเทศไทยแล้วเราว่าทนได้ 2 วันก็คงเริ่มคันยุกยิกกันแล้ว ในการสระผมครั้งต่อๆ ไปหลังจากนั้น ถ้า 2-4 วันค่อยสระผมซักครั้งก็จะช่วยถนอมให้สีผมให้อยู่ยาวนานมากขึ้นไปอีก เราขอแนะนำ Dry Shampoo ถือเป็นเพื่อนคู่ใจที่ควรมีเลย
ทั้งหมดนี้เป็นหลักปฏิบัติดีๆ ที่ช่างผมสามารถทำและแนะนำลูกค้าให้ทำตามด้วยได้ไม่ยาก เพียงเท่านี้สีผมที่คุณสู้อุตส่าห์ลงแรงกายแรงใจสร้างสรรค์ไปก็จะอยู่สวยทนยาวนานอย่างที่ควรจะเป็นแล้ว