ในชีวิตของแต่ละคนย่อมมีช่วงเวลาที่ต้องพบเจอกับอุปสรรค จนกลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต อย่างเช่นชีวิตของ อาจารย์แมค – นครินทร์ จินตนครชัยศรี แห่ง Finesse Professional Salon ที่ชีวิตพลิกผันจากการทำงานสายการบิน กลายมาเป็นเจ้าของร้านซาลอนชื่อดัง การันตีฝีมือได้จากการเรียนจบเกียรตินิยมและได้ทำงานที่สถาบันสอนทำผมระดับโลกอย่าง Toni & Guy ประเทศสิงคโปร์ ปัจจุบันเขาเป็นทั้งแฮร์สไตลิสต์และเทรนเนอร์รุ่นใหม่ไฟแรงที่ตั้งใจถ่ายทอดประสบการณ์จากต่างประเทศให้แก่ช่างผมไทย กว่าจะมีวันนี้ได้…เรื่องราวในชีวิตและไลฟ์สไตล์ของเขามีอะไรน่าสนใจให้เราเรียนรู้ได้บ้าง มาหาคำตอบไปพร้อมๆ กัน
ชีวิตในวัยเด็ก
ตอนเด็กๆ ชอบเล่นกีฬา ทั้งเตะฟุตบอล ว่ายน้ำและบาสเกตบอล พอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยก็ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ช่วงนั้นมีโอกาสได้เดินแบบ ถ่ายแฟชั่น และได้ตำแหน่งหนุ่มแฮ็คส์ปี 2005 มาด้วย พอเรียนจบก็ตั้งใจเลือกทำงานด้านสายการบิน เพราะชอบเรื่องภาษา การเดินทาง และชอบเรื่องการบริการ
จุดเปลี่ยนของชีวิต….จากสายการบินสู่ร้านซาลอน
จริงๆ แล้วผมมีคุณตาและคุณป้าที่เป็นช่างทำผมมาก่อน แต่สิ่งที่จุดประกายจริงๆ และเรียกว่าเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเลยก็คือ ตอนทำงานเป็นพนักงานต้อนรับของสายการบินแห่งหนึ่ง ช่วงนั้นเศรษฐกิจมีปัญหา ราคาน้ำมันขึ้นสูง ทางสายการบินต้องลดจำนวนเที่ยวบินลงทำให้ผมไม่ได้ขึ้นบินสักที ระหว่างรอเวลาก็เลยไปเรียนทำผมที่ศูนย์ฝึกวิชาชีพสาขาวัดธรรมมงคล เป็นหลักสูตรระยะสั้น 2 เดือน เริ่มเรียนตอนแรกรู้สึกว่ายาก แต่พอได้ไปเรียนทุกวันๆ เข้าก็เริ่มสนุกและชอบขึ้นมา ตอนนั้นไม่เคยไปสายหรือขาดเรียนเลย รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจและไม่น่าเบื่อ ทำให้ตัดสินใจได้ว่าสายอาชีพทำผมเป็นสิ่งที่เราชอบและอยากเรียนต่อด้านนี้แบบจริงจัง พอเรียนจบก็เลยบินไปสิงคโปร์ทันทีและสมัครเข้าเรียนที่สถาบัน Toni & Guy ครับ
เรียนรู้พื้นฐานจากสถาบันทำผมชื่อดัง
สาเหตุที่ผมเลือกเรียนที่ Toni & Guy เพราะชอบเรื่องเทคนิคต่างๆ ของที่นี่ ทั้งเรื่องการครีเอทเท็กซ์เจอร์ของเส้นผมให้เป็นทรงโดยไม่ต้องเซ็ตผม รวมทั้งเรื่องสไตล์การตัดผมที่สามารถปรับเป็นสตรีทลุคได้ คือ สามารถเดินบนท้องถนนได้จริงๆ
ประสบการณ์การเรียนทำผมในต่างประเทศ
พูดได้เลยว่าเรียนทำผมที่เมืองนอกมันไม่ง่ายเลย ถ้าให้เปรียบเทียบก็เหมือนการเข้าค่ายทหาร เพราะเรียนหนักและเหนื่อยมาก ต้องอดทน และไม่มีคำว่าทำไม่ได้ เราต้องทำได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะช่วงก่อนเรียนจบค่อนข้างเหนื่อย เพราะต้องหานางแบบเพื่อทำโชว์ ตอนนั้นต้องทำเองทุกอย่าง ไม่มีคนช่วย และปัญหาหนึ่งคือเราไม่ใช่คนที่นั่นด้วย ก็ต้องไปเดินหานางแบบตามท้องถนนแล้วเลือกคนที่เหมาะกับทรงผมที่เราจะทำโชว์ สิ่งที่ยากคือต้องอธิบายให้เขาเข้าใจและไว้ใจยอมมาเป็นแบบให้เรา ส่วนเรื่องเพื่อนร่วมเรียนทุกคนก็น่ารักครับ มาจากหลายประเทศและหลายวัฒนธรรม ซึ่งทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง
จากแฮร์สไตลิสต์…พัฒนาสู่การเป็นเทรนเนอร์
ตอนที่ไปเรียนช่วงแรกๆ ก็ยังไม่คิดว่าตัวเองจะได้มาเป็นเทรนเนอร์ แต่ด้วยความที่เราอยู่กับอาจารย์และถูกฝึกให้สอนรุ่นน้องและทีมงานอยู่เสมอๆ เราเลยได้เรียนรู้และซึมซับว่าการเป็นเทรนเนอร์ทำให้เราได้ทบทวนสิ่งที่เรียนมา และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือเวลาที่เราเห็นรุ่นน้องจบ เห็นคนที่เราสอนแล้วเขาทำได้ มันคือความสุขที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ เป็นความสุขที่บอกไม่ถูกเลยจริงๆ ครับ
เริ่มต้นชีวิตการทำงาน
ตอนที่เรียนจบจาก Toni & Guy ผมได้เกียรตินิยม เลยลองสมัครทำงานต่อที่นี่เพื่อหาประสบการณ์ ซึ่งผมมีโอกาสได้ทำงานเป็นทั้งสไตลิสต์และเป็นเทรนเนอร์ โดยผมจะไปช่วยอาจารย์สอนช่วงที่มีเวลาว่าง ส่วนใหญ่ก็จะสอนเรื่องการตัดผมเป็นพิเศษ ถ้าเรื่องเกี่ยวกับซาลอนก็จะสอนเรื่องสี และช่วงที่ทำงานอยู่ที่ Toni & Guy ก็ได้รับการฝึกให้เป็นผู้ช่วยระดับ 2 ด้วยครับ
อุปสรรคในการเป็นช่างทำผมที่ต่างประเทศ
ผมมองว่าอุปสรรคหลักๆ เลยไม่ว่าจะทำงานที่ต่างประเทศหรือที่เมืองไทยก็คือ เรื่องความแตกต่างของลูกค้าแต่ละคน ทั้งเรื่องรูปทรงกะโหลกศีรษะ สภาพเส้นผม และไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งมีผลว่างานนั้นจะมีความยากหรือง่าย
ตั้งเป้าหมายให้ชีวิต…เปิดร้านซาลอนของตัวเอง
ผมทำงานที่สิงคโปร์มา 3-4 ปี ก็ตัดสินใจกลับเมืองไทยมาเปิดร้านเป็นของตัวเอง ตอนนั้นผมยอมทิ้งโอกาสทิ้งอนาคตในการทำงานที่ต่างประเทศ โดยตั้งใจและปฏิญาณกับตัวเองไว้เลยครับว่า ความสุขของเราคือการสอน ดังนั้นกลับมาเราจะเป็นครู จะไม่เป็นสไตลิสต์อย่างเดียวแล้ว เพราะคิดว่าความรู้ของเราสามารถนำไปแชร์และทำประโยชน์ให้ช่างทำผมไทยได้ แต่สอนอย่างเดียวก็คงไม่ได้ การมีร้านเป็นของตัวเองจะทำให้เราได้ฝึกทักษะ ฝึกมือตลอดเวลา ได้เจอลูกค้าที่หลากหลาย ทำให้เราไม่หยุดที่จะเรียนรู้ ร้านทำผมถือว่าเป็นโรงเรียนที่ดีที่สุด จึงทำให้เกิดเป็นร้าน Finesse ขึ้นมาครับ
คอนเซ็ปต์ของร้าน
เป็นร้านสไตล์บูทีค เน้นความเป็นส่วนตัวของลูกค้า และลูกค้าแต่ละคนเมื่อเข้ามาทำผมที่ร้านก็จะมีช่างคอยดูแลให้แบบเฉพาะคน และจะให้เวลากับลูกค้าให้มากที่สุด ร้านของเราจะเน้นการทำผมด้วยความประณีตและพิถีพิถันที่สุด รวมทั้งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าจริงๆ ส่วนมากจะเน้นรับลูกค้าที่โทรศัพท์มานัดล่วงหน้าครับ
อุปสรรคเมื่อต้องมาบริหารร้านเอง
เวลาที่เรามาเปิดร้านเองก็มีอุปสรรคที่หลากหลาย แต่สำคัญที่สุดคือเรื่องของบุคลากร และสิ่งที่ยากที่สุดคือการสร้างทีม ซึ่งเราต้องสอนทีมงานและให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่เขาเพื่อให้นำไปใช้ดูแลลูกค้าได้เหมือนกับที่เราทำ
แบ่งเวลาระหว่างการทำงานกับการสอนอย่างไร
ทุกวันนี้ผมทำงาน 7 วันเต็ม แต่จะเน้นเรื่องการสอนเป็นหลัก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นวันธรรมดา ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ผมจะเข้ามาที่ร้านเพื่อตัดผมและทำผมให้ลูกค้าที่นัดไว้ล่วงหน้า
การเรียนรู้ที่ไม่หยุดนิ่ง
ผมจะคอยอัพเดตความรู้ตลอดเวลา ล่าสุดได้ไปเรียนคอร์สสั้นๆ ที่สถาบัน Vidal Sassoon ประเทศอังกฤษ คือใน 1 ปีผมจะมีช่วงที่เป็นวันหยุดยาวก็จะถือโอกาสไปเที่ยวและเรียนด้วย ผมก็จะพยายามเก็บคอร์สทำผมทุกคอร์สที่สามารถเรียนได้ ก็ค่อนข้างสนุกครับ และถือว่าได้ประสบการณ์ใหม่ๆ สาเหตุที่เลือกเรียนที่นี่ก็เพราะผมเรียนที่ Toni & Guy มาจนจบหลักสูตรแล้ว เลยอยากจะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ และเรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ ของแต่ละสถาบันด้วย เพื่อนำมารวมเป็นเอกลักษณ์ของตัวเราเอง การเรียนรู้ที่ไม่หยุดนิ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก ก็เหมือนกับเวลาที่เราฝึกอาวุธ เราต้องฝึกให้หลากหลาย เพราะเราไม่สามารถใช้อาวุธเดียวแล้วก็โจมตีข้าศึกได้สำเร็จ ข้าศึกก็มีหลายรูปแบบ เราจึงต้องฝึกตัวเองไว้หลายๆ ด้าน
ช่างทำผมกับการออกกำลังกาย
ช่วงหลังผมหันมาสนใจเรื่องการออกกำลังกายและสุขภาพมากขึ้น เพราะสมัยอยู่ที่สิงคโปร์ทำงานหนักจนแทบไม่มีเวลาพักก็เลยมีปัญหาเรื่องปวดหลัง บางครั้งปวดมากจนลุกขึ้นมาใส่กางเกงไม่ได้ ต้องนั่งใส่แทน ผมเลยตัดสินใจว่าพอเรากลับมาเมืองไทยแล้วเรามีเวลามากขึ้น อยากออกกำลังกาย อยากให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ซึ่งหลังจากออกกำลังกายเป็นประจำก็ช่วยทำให้สุขภาพแข็งแรง ปัญหาเรื่องปวดหลังก็หายไปด้วย ส่วนใหญ่แล้วผมจะไปว่ายน้ำ เพราะรู้สึกว่าทำให้ร่างกายผ่อนคลาย ผมชอบเวลาดำน้ำ พอดำลงไปใต้น้ำมันมีความเงียบสงบ และรู้สึกว่ามีสมาธิด้วย
การทำผมกับการออกกำลังกาย เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
ทั้งการทำผมและการออกกำลังกายแทบไม่มีความแตกต่างกันเลย เพราะเวลาทำผมเราต้องวางแผนเพื่อให้งานออกมาดีที่สุด การออกกำลังกายก็เหมือนกัน ต้องมีการวางแผนเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นวินัยด้วย และเป็นสิ่งที่ผมอยากให้ช่างทำผมทุกคนรู้จักการวางแผนในการทำงาน เพื่อให้เราประสบความสำเร็จ
สถานที่ท่องเที่ยวที่ชอบ
ผมชอบไปเที่ยวภูเขาและเที่ยวป่าเพราะว่าอากาศดี เวลาทำผมเราจะอยู่แค่ในห้องสี่เหลี่ยม อยู่กับสารเคมีค่อนข้างเยอะ พอได้ไปเที่ยวภูเขาและเจออากาศดีๆ ปุ๊บเหมือนเราได้เติมเต็มและรู้สึกสดชื่นขึ้น ถ้าเป็นต่างประเทศ ผมชอบไปเที่ยวอังกฤษครับ ชอบไลฟ์สไตล์และความเป็นอยู่ของที่นั่น ส่วนใหญ่เวลาไปต่างประเทศจุดโฟกัสอันดับแรกเลยผมจะไปดูอุปกรณ์ทำผม สถาบันสอนทำผมที่มีชื่อเสียง เหมือนกับการไปดูสิ่งที่เติมเต็มให้เราได้
สไตล์การแต่งตัวหรือแบรนด์เนมที่ชอบ
ผมชอบแต่งตัวสไตล์ Smart Casual เป็นอะไรที่ง่ายๆ แต่ดูดี จะไม่เน้นเรื่องแบรนด์เนม ชอบโทนสีเรียบๆ อย่างสีขาว สีดำ และสีที่ดูเรียบๆ สบายๆ
อาหารที่ชอบ
ชอบอาหารไทยครับ โดยเฉพาะขนมไทย เพราะตั้งแต่เด็กคุณยายชอบทำขนมไทยให้ทาน และผมอยู่กับครอบครัวที่ทำขนมเก่งด้วย ทำให้ชอบขนมไทยมาก และผมทำได้ด้วย อย่างพวกถั่วแปบ สังขยาใบเตย และขนมต้ม ก็จำสูตรมาจากคุณยายที่เคยสอนให้ครับ
ทำขนมกับตัดผม เรื่องไหนยากกว่ากัน
จริงๆ ยากทั้งสองอย่างนะ เพราะการทำขนมต้องมีความละเอียดและความสะอาด ขนมไทยจะเน้นเรื่องความสะอาดและวัตถุดิบเป็นสิ่งสำคัญมาก เรื่องของการทำผมก็เหมือนกัน ต้องมีความละเอียด และต้องเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม แม้กระทั่งเรื่องเคมีที่ใช้กับเส้นผมด้วย นี่คือสิ่งสำคัญ คือ ทำยังไงที่จะทำให้ผมสวย ทำยังไงให้อาหารอร่อย มันก็อยู่ที่ปัจจัยเดียวกัน
งานอดิเรกหรือของสะสม
ของสะสมส่วนใหญ่จะเป็นอุปกรณ์ทำผม และหัวใจหลักที่สำคัญที่ผมชอบคือหนังสือคอลเล็คชั่นที่เกี่ยวกับการทำผม ซึ่งทุกเล่มก็จะเอามาเปิดดูบ่อยๆ เพราะคอลเล็คชั่นในการทำผมมันเป็นแฟชั่น เมื่อเป็นแฟชั่นมันก็จะวนไปวนมา แฟชั่นนี้เป็นแฟชั่นที่ย้อนไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผมก็จะเปิดมาทบทวน เปิดมาดู แล้วก็ประยุกต์มาใช้เป็นงานครีเอทีฟของเรา
ให้นิยามตัวเอง
เป็นคนที่พิถีพิถัน ใส่ใจในรายละเอียดทุกขั้นตอนทั้งในเรื่องการทำงานและการสอน
สิ่งประทับใจที่สุดในชีวิตการทำงาน
ก็คงเป็นเรื่องการสอนนะครับ ผมรู้สึกว่าเวลาที่เราสอนใครสักคนแล้วเขาประสบความสำเร็จ สามารถนำวิชาชีพที่เราสอนไปประกอบอาชีพ ไปสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัวให้กับตัวเองได้ สิ่งนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าประสบความสำเร็จที่สุดในชีวิตแล้ว
อยากฝากอะไรถึงช่างทำผมรุ่นใหม่
อยากให้ช่างทำผมไทยรู้จักการเรียนรู้ และฝึกทักษะให้มากขึ้น รวมทั้งการเรียนรู้เรื่องผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีต่างๆ ที่เดี๋ยวนี้มันไปไกลมากขึ้น แล้วก็นำความรู้เหล่านั้นมาแชร์ให้กับลูกค้า
การยอมรับความเปลี่ยนแปลง แล้วกล้าที่จะเลือกทำในสิ่งใหม่ๆ พร้อมกับทำด้วยใจรักบวกกับความมุ่งมั่น ตั้งใจ และไม่หยุดที่จะเรียนรู้ ย่อมนำไปสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จทั้งในการทำงานและชีวิตส่วนตัว เช่นเดียวกับ อาจารย์แมค – นครินทร์ จินตนครชัยศรี แห่ง Finesse Professional Salon ซึ่งมีแนวทางการใช้ชีวิตที่เป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ช่างผมรุ่นใหม่ที่อยากประสบความสำเร็จในสายอาชีพนี้ต่อไป
Photo Credit : FB Finesse-Professional-Salon, Nakarin Jintanakornchaisri
IG : @mc_nakarin