หนึ่งตัวอย่างความสำเร็จและความภาคภูมิใจของวงการผมไทยกับแฮร์สไตลิสต์สุดแนว โก๋-สถาพร ธัญญวนิชพงษ์ ที่ไปสร้างชื่อเสียงในฐานะแฮร์สไตลิสต์ที่ประเทศออสเตรเลียจนโด่งดัง เป็นที่รู้จักโดยกว้างขวาง ทันทีที่กลับมาเยือนประเทศไทยบ้านเกิดเมืองนอนอีกครั้งทางทีมงานก็รีบไปคว้าตัวมาให้ผู้อ่าน Hairworld ได้อัพเดตเรื่องราวเจาะลึกทันที
A Day with KOH
ทีมงานได้มีโอกาสเข้าไปชมเวิร์คช็อปแนะแนวช่องทางการทำงานต่างประเทศจากคุณโก๋ ณ Chalachol Academy บรรยากาศในห้องเรียนเต็มไปด้วยเหล่านักเรียนว่าที่แฮร์สไตลิสต์อนาคตไกลมาร่วมกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ซึ่งคุณโก๋ได้เริ่มเล่ารายละเอียดประสบการณ์ของตนเองไม่มีกั๊ก พร้อมทั้งยังเผยว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ได้นั้นเขาใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศออสเตรเลียกว่า 10 ปี ลองผิดลองถูกเป็นเด็กฝึกงานอยู่นานและยังถึงขั้นเปิดร้านซาลอนบริหารงานเองร่วม 3 ปี จึงได้ลองมาเป็นแฮร์สไตลิสต์อิสระหรือ Freelance สร้างผลงานให้เราเห็นตามหน้านิตยสารชั้นนำอย่าง VOGUE Australia
“ถ้าเรามีความรัก ความอยากรู้ อยากเป็น…ตัวเราเองต้องลงมือทำ”
นั่นคือประโยคบอกเล่าแรงบันดาลใจของเขา จากย่างก้าวแรกจากเมืองไทยไปสู่ประเทศออสเตรเลียด้วยวีซ่านักเรียน 6 เดือน ก็ค่อยๆ ฝึกปรือภาษาและหาลู่ทางในวิชาชีพของตนเอง คุณโก๋ย้ำให้พวกเราเห็นความสำคัญในเรื่องของภาษาอังกฤษ หากมีความฝัน ก็ต้องพยายาม! การทำงานที่ประเทศออสเตรเลียใบอนุญาตทำงาน (License) และผลการสอบภาษา IELTS มีความสำคัญมาก ต้องมีการจัดการภาษีให้เป็นแบบแผนไม่ว่าจะเปิดร้านเล็กแค่ไหนหรือเป็นเพียงลูกมือก็ตาม สิ่งเหล่านี้มีส่วนส่งเสริมในการสมัครเรียนทักษะสำหรับช่างผม
“สิ่งที่เมืองไทยยังขาดคือหลักสูตรและสถาบันสอนทำผมที่น่าเชื่อถืออีกหลายๆ สถาบัน ที่ควรมีให้เยอะขึ้น”
หากเปรียบเทียบหลักสูตรช่างผมในประเทศไทยที่สถาบันชลาชลพยายามผลักดันก็ถือว่ามีระดับเท่ากันจบที่ระดับ Advance เหมือนกัน ที่ต่างกันก็คือบรรยากาศในการเรียนรู้และการทำงาน เพราะที่ออสเตรเลียในซาลอนจะเน้นความเป็นระบบมาก ตัวแฮร์สไตลิสต์ต้องจัดการดูแลลูกค้าด้วยตนเองทุกขั้นตอน นอกจากนั้นคุณโก๋ยังได้เปิดใจถึงความรู้สึกในฐานะช่างผมชาวไทย…อันที่จริงต้องบอกว่าเขาเป็นชาวเอเชียคนเดียวด้วยซ้ำในการทำงานส่วนใหญ่เนื่องจากต้องทำงานเบื้องหลังการถ่ายภาพแฟชั่นจากทั้งนิตยสารและแบรนด์ต่างๆ บ่อยครั้ง เขาจึงยึดมั่นในความคิดที่ว่า
“มั่นใจ เป็นตัวของตัวเอง”
สลัดความกลัวและลงมือทำงานให้ดีที่สุด ในเมื่อได้เล่าเรียนมาในฐานะช่างผม ก็ต้องเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ลองสิ่งท้าทายใหม่ๆ ปรับทัศนคติให้พร้อมเติบโตเช่นเดียวกับผลงานชิ้นต่อๆ ไป จากวันวานจนถึงปัจจุบัน คุณโก๋ได้ยอมรับถึงความคิดที่เติบโตไปมากต่างจากเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก เพราะเมื่ออายุน้อย ด้วยความที่ประกอบอาชีพแฮร์สไตลิสต์ เป็นงานสาย Art อารมณ์ก็ค่อนข้างอ่อนไหวและใส่อารมณ์เข้าไปในกระบวนการทำงานค่อนข้างเยอะ แต่ด้วยวัยวุฒิ คุณวุฒิที่มากขึ้น พอได้สั่งสมประสบการณ์ ก็สามารถปรับและควบคุมได้ว่าควรใช้อารมณ์มากน้อยแค่ไหนในชิ้นงาน
SIGNATURE
“สำหรับตัวผมเองกว่าจะหา Signature ของตัวเองได้ก็ใช้เวลานานมาก เป็นอะไรที่ต้องใช้เวลา ช่วงแรกเราไม่รู้เลยว่าจุดเด่นของตัวเองคืออะไร เวลาทำงานหรือรับบรีฟมาก็จะมุ่งไปตามสไตล์ในภาพ Reference นั้นๆ แล้วจมอยู่ตรงนั้น เรามองข้ามความเป็นตัวของตัวเอง ถึงจุดนี้ผมก็สามารถบอกได้ว่า Signature ของตัวเองก็คือ Directional Hair คือการทำผมให้พลิ้วไหว เห็นทิศทางของแต่ละเส้น ไม่ว่าจะทำผมสไตล์ไหนเราก็ใส่จุดเด่นนี้ลงไป จะได้งานที่สื่อถึงอารมณ์ เป็นตัวตน”
ประสบการณ์ดีๆ เหล่านี้นับว่าเป็นแรงกระตุ้นช่างผมที่มีความฝัน เราต้องถามตัวเองให้ชัดเจนว่าต้องการมากแค่ไหน และได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ถึงจุดหมายแล้วหรือยัง ปัจจุบันนี้แวดวงอุตสาหกรรมผมในประเทศไทยเปิดกว้าง แม้จะยังมีสถาบันสอนทำผมน้อยแต่ที่มีอยู่ก็ถือว่ามีมาตรฐานเป็นหน้าเป็นตาของประเทศทัดเทียมในระดับสากล ถึงตัวคุณโก๋จะออกปากอย่างนึกสนุกว่า ตัวเขานั้นถนัดทำงานกับการถ่ายแฟชั่นภาพนิ่งที่เป็นงานเบื้องหลังหรือแนว Backstage มากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นถ้ามีโอกาสก็อยากจะลองงาน Performing ขึ้นเวทีโชว์ใน Hair Event ดูบ้าง ไม่แน่ว่าในอนาคตอันใกล้นี้เราอาจเห็นผลงานเริ่ดๆ เป็นตัวอย่างจากแฮร์สไตลิสต์คนนี้ก็ได้