แน่นอนว่าทุกคนย่อมต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ว่าจะด้านการทำงานหรือชีวิตส่วนตัว บางคนอาจจะวัดค่าความสำเร็จจากฐานะทางการเงิน หรือหน้าตาทางสังคม แต่ก็มีหลายคนที่มองว่าการได้ทำงานที่รัก หรือเป็นงานที่สร้างความสุขให้คนอื่นได้ ก็นับเป็นความภูมิใจและความสำเร็จในชีวิตแล้ว ซึ่ง Hairworld Plus+ ฉบับนี้ ขอพาไปรู้จักตัวตนและไลฟ์สไตล์ของช่างผมตัวจริงของวงการ และเป็นแบบอย่างของผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างแน่นอน นั่นก็คือ “ดร.ติ่ง-ทศพร นพวิชัย” อุปนายกสมาคมวิชาชีพช่างทำผมไทย, เจ้าของ Venus Hair Team และนักเขียนกิตติมศักดิ์นิตยสาร Hairworld Plus+ มาติดตามเรื่องราวชีวิตและมุมมองความคิด พร้อมเคล็ดลับที่นำไปสู่ความสำเร็จของ ดร.ติ่ง ทศพร ไปพร้อมๆ กัน
ย้อนชีวิตวัยเด็ก ทายาทโรงเรียนเสริมสวยเกศสยาม
ผมเกิดและเติบโตที่โรงเรียนเสริมสวยเกศสยาม มีคุณแม่ คุณอา คุณป้า แล้วก็ญาติๆ เป็นช่างทำผมกัน ผมก็จะได้เห็นวิถีชีวิตของการเป็นช่างทำผมมาตั้งแต่เด็กๆ ทั้งในส่วนของคุณแม่ ที่ผมก็มีโอกาสติดตามคุณแม่ไปทำผมหลายๆ ที่ เพราะโรงเรียนเสริมสวยเกศสยามทำผมให้กับดาราและผู้ประกาศทางทีวีของช่องต่างๆ คุณแม่ก็จะออกไปทำผมให้ทางกองถ่ายเหล่านั้น ผมก็จะได้เห็นวิถีชีวิตการทำงานของคุณแม่ด้วย อีกส่วนหนึ่งก็คือในส่วนของโรงเรียนเสริมสวยเกศสยาม ตอนนั้นมีอยู่ 2 ตึก เปิดเป็นร้านเสริมสวยและสอนนักเรียน ก็มีนักเรียนเป็นพันๆ คนเลย ทำให้เราได้เห็นวิวัฒนาการต่างๆ ได้เห็นการทำงานของช่างผม มันก็เลยเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา
เริ่มเรียนทำผมตั้งแต่ตอนไหน
ได้เรียนทำผมตั้งแต่เด็กๆ เลยครับ พอถึงช่วงปิดเทอมจำได้ว่าตอนนั้นอยู่ ป.6 จะขึ้น ม.1 คุณย่า “ยุพา นพวิชัย” เห็นว่าเราวิ่งเล่นไปมาก็เลยบอกให้มาเรียนทำผมดีกว่า ช่วงเมษายนเต็มเดือนก็จะเรียนทำผมตั้งแต่ 9 โมงเช้า จนถึงบ่าย 3 โมง หลังจากนั้นก็ได้มีโอกาสไปประกวดชิงแชมป์ผมประเทศไทย ถ้วยพระราชทานสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อปี พ.ศ.2531 ซึ่งเราก็ได้รางวัลมา ที่บ้านเลยเห็นว่าน่าจะเอาดีทางนี้ได้จริงๆ เลยตัดสินใจส่งไปเรียนทำผมที่ประเทศอังกฤษครับ ที่สถาบัน Alan International Academy
ไปเรียนทำผมต่างประเทศให้อะไรกับเราบ้าง
ช่วงไปเรียนทำผมที่อังกฤษได้ประสบการณ์เยอะมาก และจริงๆ แล้วลูกหลานของเกศสยามคุณย่าก็จะส่งไปเรียนทำผมที่อังกฤษทุกคน ซึ่งตัวผมเอง ณ ตอนนั้นพอเรียนจบก็ยังไม่ได้กลับเมืองไทยทันที เพราะยังอยู่ในช่วงวัยรุ่น อายุประมาณ 17-18 ปี ก็อยากหาประสบการณ์เพิ่มเติม เลยไปสมัครงานร้านทำผมในกรุงลอนดอน มีโอกาสได้ทำงานร้านทำผมที่นั่น 2 ร้าน ทำอยู่ปีกว่าๆ ครับ ก็ถือว่าทำให้เราได้ประสบการณ์การทำงาน ได้เรียนรู้วิธีการทำผมที่หลากหลายขึ้นมากๆ หลังจากนั้นก็กลับเมืองไทยมาเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่โรงเรียนเกศสยามครับ
ทำไมถึงตัดสินใจเปิดร้านเป็นของตัวเอง
สิ่งที่จุดประกายให้มาเปิดร้าน Venus เริ่มจากช่วงปี 2541 ผมมีโอกาสเข้าประกวด Thailand Hairdressing Awards แล้วได้รับรางวัลชนะเลิศ Grand Champion และมีโอกาสได้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่นกับทาง Schwarzkopf Professional ทำให้ได้ไปเห็นร้านทำผมแถวๆ ย่าน Omote Sando ตอนนั้นก็ 20 กว่าปีที่ผ่านมา รู้สึกว่าร้านทำผมของญี่ปุ่นน่าสนใจมาก ทำให้เราอยากมาเปิดร้านที่เป็นแนวทางและรูปแบบของเราเองครับ
ที่มาของชื่อ Venus Hair Team
คำว่า Venus ก็คือเป็นเทพเจ้าแห่งความสวยความงามนะครับ ซึ่งผมคิดว่าเป็นชื่อที่เหมาะกับผู้หญิง เหมาะกับร้านเสริมสวย แล้วผมก็เป็นคนที่เชื่อในเรื่องเกี่ยวกับโชคชะตาราศีในระดับหนึ่งด้วยครับ เลยเลือกใช้ชื่อนี้
สไตล์การตกแต่งร้าน
ตอนนี้ร้านอยู่ที่โรงแรมบลิสตัน สุวรรณ ปาร์ควิว นะครับ การตกแต่งร้านก็จะเป็นสไตล์เรียบๆ ง่ายๆ เน้นโทนสีขาว เพดานสูง เพื่อให้บรรยากาศร้านดูโล่งและโปร่งสบายครับ
จุดเด่นของร้าน Venus Hair Team
ร้านเราสามารถให้บริการลูกค้าได้หลาย Generation ด้วยประสบการณ์ของตัวผมเอง และคุณแม่ที่ทำงานมานานกว่า 30 ปี ที่ร้านจึงให้บริการทำผมได้ทุกรูปแบบ เพราะฉะนั้นกลุ่มลูกค้าของเราก็จะมีหลายช่วงวัย ตั้งแต่ผู้ใหญ่จนถึงรุ่นเด็กๆ เลยครับ
ที่ผ่านมาเจอปัญหาหรืออุปสรรคอะไรบ้าง
ช่วงที่เข้ามาเป็นช่างผมใหม่ๆ ก็จะมีความรู้สึกท้อแท้อยู่บ้าง เพราะยังขาดประสบการณ์ในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะการสื่อสารกับลูกค้าให้เข้าใจตรงกันว่าเขาต้องการอะไรบ้าง และในเรื่องของการวิเคราะห์เส้นผม ที่ช่วงแรกจะมีปัญหาอยู่บ้างนะครับ แต่เมื่อเวลาผ่านไปอุปสรรคเหล่านั้นก็ลดน้อยลง เพราะมีประสบการณ์ในการทำงานที่มากขึ้น แต่ถ้าถามว่าอะไรที่ทำให้เราผ่านอุปสรรคจนมาถึงวันนี้ได้ ก็ต้องขอบคุณโรงเรียนเสริมสวยเกศสยามนะครับ ขอบคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ตั้งแต่อาจารย์ปาน บุนนาค และอาจารย์เสาวลักษณ์ บุณยชาต ซึ่งเป็นเหมือนครูในวิชาชีพนี้ของเรา เพราะตอนเด็กๆ ก็จะไปยืนส่งกิ๊บ ส่งหวี ส่งแปรงให้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้มันเป็นประสบการณ์ที่เราได้เรียนรู้ จนวันหนึ่งออกมาเปิดร้านและบริหารงานเองก็ทำให้เราประสบความสำเร็จได้ครับ
การประกวดทำผมครั้งไหนที่รู้สึกประทับใจมากที่สุด
ประทับใจทุกครั้งครับ ไม่ว่าจะได้รางวัลหรือแค่เข้ารอบ ก็รู้สึกว่าประทับใจและมีความสุข เพราะทุกครั้งที่เราทำงานเรามีความสุขกับมัน จะคิดเสมอว่าไม่จำเป็นต้องมุ่งหวังว่ารางวัลมันคือสิ่งที่สูงสุดของการทำงาน ถ้าได้รางวัลมาก็เหมือนได้กำไรชีวิต ยิ่งเราแข่งขันมากเท่าไหร่ก็ได้ประสบการณ์มากยิ่งขึ้น และตอนที่ประกวดก็จะมีเพื่อนๆ พี่น้องในวงการ ไม่มีใครที่จะต้องรู้สึกว่าฉันเป็นคนเก่งคนเดียว เหมือนเรามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันมากกว่า
แบ่งเวลางานกับเวลาส่วนตัวอย่างไร
เรื่องนี้สำคัญมากนะครับ เพราะผมเชื่อว่าถ้าเราแบ่งเวลาทำงานกับชีวิตส่วนตัวได้ ก็จะทำให้เรามีแรงในการทำงาน ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะบางครั้งถ้าเราทำงานอย่างเดียวก็จะทำให้ขาดโอกาสในการออกไปเปิดโลกทัศน์ ซึ่งตัวผมจะแบ่งเวลาเรื่องนี้อย่างชัดเจน ที่ผ่านมาก็ได้ใช้เวลาว่างไปศึกษาเพิ่มเติมในสาขาวิชาอื่นๆ โดยเฉพาะวิชารัฐศาสตร์ที่ชื่นชอบเป็นพิเศษ ก็ได้มีโอกาสศึกษาจนจบปริญญาเอก สาขารัฐศาสตร์ วิชาการเมือง ในขณะเดียวกันผมก็ได้นำความรู้ตรงนี้มาใช้เพื่อเป็นประโยชน์ให้กับวงการช่างผมด้วย เพราะผมดุษฎีนิพนธ์เรื่อง “การเมืองและเศรษฐกิจของการสงวนอาชีพในประเทศไทยและประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน กรณีศึกษาธุรกิจบริการด้านงานเสริมสวย” ที่จะเป็นการเน้นเรื่องของการให้คนไทยสามารถประกอบอาชีพช่างผม ช่างเสริมสวยได้อย่างมั่นคง โดยไม่ถูกแรงงานต่างด้าวเข้ามาแย่งงานได้
งานอดิเรกหรือกิจกรรมที่ชอบทำ
ชอบท่องเที่ยวครับ อย่างในช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 ก็จะชอบเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ ประเทศที่ชอบก็คือญี่ปุ่นครับ เพราะอาหารการกินที่ค่อนข้างจะถูกปาก และใช้เวลาเดินทางไม่นาน เราสามารถที่จะใช้เวลาประมาณ 5-6 วันได้ เพราะถ้าเกิดไปยุโรปก็ต้องใช้เวลานานนะครับ ส่วนช่วงนี้ก็มีไปเที่ยวในประเทศบ้าง แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือการให้ความสนใจกับตัวเอง ก็จะออกกำลังกายอาทิตย์นึงอย่างน้อยก็ 3 ครั้งนะครับ นอกจากนั้น จะไปพบปะเพื่อนฝูงบ้าง ซึ่งก็จะจัดสรรเวลาไปพบปะกับเพื่อนหลายๆ กลุ่ม เพื่อที่จะทำให้เราได้รู้จักคนมากขึ้นครับ
ของสะสมชิ้นโปรด
ถ้าถามถึงของสะสมก็จะเป็นพวกนาฬิกาครับ แต่ไม่ได้มีราคาแพงอะไรมากมาย เรียกว่าเป็นสิ่งที่ชื่นชอบ และเห็นว่าจะมี Value มีค่าต่อไปในอนาคต ส่วนมากที่เก็บเอาไว้ก็จะเป็นของที่เราสามารถนำมา Turn เปลี่ยนใหม่ได้โดยที่ราคาไม่ตกครับ
ชอบแต่งตัวสไตล์ไหน
สไตล์การแต่งตัวของผมก็จะเรียบๆ ง่ายๆ ไม่ได้เน้นว่าต้องแต่งแบบไหนที่เป็นสไตล์ของตัวเองมากมาย แต่ว่าผมชอบอะไรที่ดูแล้วคล่องตัว เพราะว่าร้อยละ 90 ของชีวิตก็จะเป็นการทำงาน การทำผมอยู่ในร้าน ส่วนเวลาที่เหลือก็เป็นการทำกิจกรรมอื่นๆ ก็จะเลือกแต่งตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ครับ
คติในการใช้ชีวิต
‘ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาในชีวิต เป็นสิ่งที่ดีที่สุด’ คือผมจะมองโลกในแง่ดี มี Positive Thinking ในการดำเนินชีวิตแต่ละวัน ผมจะมองว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เป็นสิ่งที่พระให้มา จะเชื่อมั่นเสมอว่าถ้าเราเป็นคนดี คิดดี ทำดี สิ่งที่มันเกิดขึ้นมานั้นดีที่สุดแล้ว เพราะฉะนั้นอยากให้ทุกคนจงมีความมั่นใจในสิ่งที่ทำ และมีความมุ่งมั่นในสิ่งที่เราจะก้าวเดินต่อไป ถ้าเราคิดในแง่บวกแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะออกมาดีที่สุดครับ
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากบอกอะไรกับตัวเอง
อยากจะบอกว่าดีใจ ขอบคุณในความมุ่งมั่นและตั้งใจของตัวเองทุกครั้งในการทำงาน แล้วก็อยากจะบอกว่าทุกวันนี้ เราประสบความสำเร็จในชีวิต ก็เพราะสิ่งที่เรามีความกตัญญูเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวในจิตใจของเราครับ
ฝากถึงช่างผมรุ่นใหม่
สำหรับช่างผมรุ่นใหม่ หรือคนที่จะก้าวเข้ามาเป็นช่างผมนะครับ สิ่งที่อยากให้ยึดถือไว้อยู่เสมอก็คือ เรื่องของการหาความรู้ ซึ่งสมัยนี้เราสามารถหาได้จากหลากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็นการไปสัมมนา หรือการเรียนออนไลน์ต่างๆ ซึ่งก็จะช่วยเพิ่มความรู้ให้เราได้มาก และที่สำคัญที่สุดก็คือ การที่เรามีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ไม่ว่าจะเป็นครูบาอาจารย์ ช่างผมรุ่นพี่ๆ ของเรา และอีกอย่างหนึ่งคือ เราต้องมีความจริงใจกับลูกค้า เพราะผมเชื่อมั่นว่าในสิ่งที่ทุกวันนี้ผมประสบความสำเร็จในจุดนี้ได้ เพราะว่าเรามีความจริงใจกับลูกค้าของเราครับ