หากจะพูดถึงเรื่องดราม่าในวงการแฟชั่นทรงผมแล้วล่ะก็ ทรงเดรดล็อค (Dreadlocks) เป็นทรงหนึ่งที่เป็นประเด็นถกเถียงกันมาโดยตลอด ไม่ใช่เพราะว่ามันดูแปลก ดูโดดเด่น หรืออะไร แต่เพราะว่ามันเป็นทรงผมที่มีความเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนา ปรัชญาการใช้ชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากถึงขั้นที่ว่าแตะต้องได้ยาก

เท้าความกลับไปยังจุดเริ่มต้นถึงที่เป็นมาของทรงผมเดรดล็อค ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่ามีจุดกำเนิดมาจากไหน แต่กล่าวกันว่ามีลัทธิหนึ่งนามว่าลัทธิรัสตาฟารี (Rastafari) หรือรัสตา (Rasta) ซึ่งอยู่ในประเทศจาเมกา พวกเขาทำทรงผมเดรดล็อคโดยได้รับอิทธิพลของทรงนี้มาจากสิงโต และมีความเชื่อว่าเส้นผมคือจุดศูนย์รวมพลังความแข็งแกร่ง ยิ่งมีความยาวมากก็ยิ่งบ่งบอกถึงความแกร่งกล้า ช่ำชอง มากประสบการณ์และความรู้ของคนผู้นั้น

ต่อมาในยุคปี 70s ทรงผมเดรดล็อคได้แพร่หลายมาทางฝั่งตะวันตกมากขึ้น มีศิลปิน นักร้อง นักดนตรีดังๆ หลายคน โดยเฉพาะในแนวเมทัล และเรกเก้ หันมาทำผมทรงนี้กันมากขึ้น คนดังที่เป็นสัญลักษณ์ของทรงเดรดล็อคที่เราคุ้นตากันดีก็คือ บ๊อบ มาร์เลย์ (Bob Marley) นักร้อง นักแต่งเพลง และนักดนตรีชาวจาเมกา เพราะเขาได้ต่อสู้เพื่อเรียกร้องสันติภาพให้แก่ชาวผิวสีผ่านบทเพลงสไตล์เรกเก้ซึ่งโด่งดังไปทั่วโลก




ตามจริงแล้ว ทรงผมนี้ถือเป็นตัวแทนความศักดิ์สิทธิ์ของพวกคนผิวสี เพราะมันคือสัญลักษณ์ที่ใช้ในการเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่พวกเขา ในขณะที่พวกเขาถูกกดขี่ข่มเหง ไร้ซึ่งอิสรภาพ แต่คนผิวขาวบางส่วนกลับนำทรงผมนี้มาใช้ ซึ่งแม้ว่ามันจะกลายเป็นเทรนด์ทรงผมยอดฮิต แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมาแค่ทรงผม แต่จิตวิญญาณที่แท้จริงของชาวผิวสีกลับถูกทอดทิ้งอย่างไร้ความหมาย ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมที่พวกเขาเผชิญไม่ได้ถูกนำมาสื่อผ่านทรงผมนี้ด้วย หลายๆ คนก็ยังคงเข้าใจว่ามันคือแฟชั่น และนำไปทำต่อๆ กันโดยไม่ได้รู้ถึงนัยยะที่แฝงเอาไว้ นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมมันจึงกลายเป็นประเด็นอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
ทรงผมเดรดล็อค ก็เปรียบเสมือนเรื่องของความเชื่อและการเมือง เมื่อนำขึ้นมาพูดทีไร ก็กลายเป็นเรื่องขัดแย้งอยู่เสมอ แม้หลายคนจะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว อย่างไรก็ตาม อย่าลืมตระหนักรู้ถืงจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของการไว้ผมทรงนี้ด้วย ลองนึกถึงใจเขาใจเรา หากว่าสิ่งที่เราเชื่อและศรัทธาหรือสิ่งที่หวงแหนถูกฉกฉวยไปโดยไม่รู้คุณค่า เราก็คงจะรู้สึกไม่ต่างกัน จริงไหมคะ