พบกับช่างผมชื่อดังแห่งวงการดัดดิจิตอล “คุณต่อ-ธารากร ธาราธำรงฤทธิ์” แห่ง Kudos By Tarakorn
ที่จะมาเปิดมุมมองและของสะสมในแบบช่างผมที่ไม่เคยหยุดเรียนรู้
ใครที่เป็นแฟนนิตยสาร Hairworld Plus+ คงคุ้นเคยกับสโลแกนของเรา “เป็นช่างผมอย่าหยุดเรียนรู้” ซึ่งเราได้เน้นย้ำเสมอๆ ถึงความสำคัญของเรื่องนี้ เพราะถ้าเราหยุดเรียนรู้ หยุดนิ่งอยู่กับที่ ก็จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง วันนี้ Hairworld Plus+ จึงได้พาช่างผมที่ชอบสะสมความรู้ และพัฒนาตัวเองจนมีชื่อเสียงในวงการดัดผมดิจิตอลและยืดวอลลุ่มมาให้ทุกคนได้รู้จัก นั่นก็คือ คุณต่อ-ธารากร ธาราธำรงฤทธิ์ ผู้บริหารซาลอนชื่อดัง Kudos by Tarakorn รวมทั้ง Kudos Academy และสปาสุดหรูที่ชื่อ “แป้งร่ำ” นอกจากนี้ เขายังได้รับเกียรติให้ทำหน้าที่ Brand Ambassador ให้กับ Joico แบรนด์ดังระดับโลกสัญชาติอเมริกัน ภายใต้การบริหารงานของ Schwarzkopf Professional Thailand อีกด้วย มาติดตามกันว่าสไตล์การใช้ชีวิต และแนวคิดต่างๆ ของเขาจะน่าสนใจขนาดไหน
จุดเริ่มต้นที่ทำให้เข้ามาเป็นช่างทำผม
จริงๆ แล้วผมจบการศึกษาปริญญาโทด้านวิศวกรรมศาสตร์เคมี และตอนนี้ก็กำลังเรียนปริญญาเอกอยู่ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา สาขาการบริหารการจัดการนะครับ ถ้าถามว่าทำไมถึงเข้ามาทำผมทั้งๆ ที่ก็เรียนมาทางด้านวิศวะ ช่วงแรกๆ เลยก็ทำงานด้านวิศวกรรมนี่แหละครับ แต่ว่าพอทำมาสักระยะแล้วรู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง เริ่มเบื่องานประจำ ก็เลยลองค้นหาตัวเองดูว่าเราจะทำอะไรดี ซึ่งสมัยก่อนตัวเองเป็นคนผมที่ไม่ตรง ผมหยักศก ต้องเข้าร้านทำผมทุกวัน ก็เลยจุดประกายว่าถ้าเราไปทำตรงนี้มันจะโอเคไหม เลยลองไปเรียนก่อนที่โรงเรียนวิชาชีพกรุงเทพประมาณอาทิตย์นึง คิดไว้ว่าถ้าชอบจริงๆ ก็จะไปให้สุด พอไปเรียนปุ๊บก็โอเคชอบก็เลยไปเรียนต่อ ที่แรกก็คือสถาบันเรืองฤทธิ์ จากนั้นก็ไปเรียนต่อที่ Toni & Guy ประเทศสิงคโปร์ต่อเลยครับ
สิ่งที่ทำให้ตัดสินใจเดินหน้าในสายอาชีพนี้
หลังจากไปเรียนทำผมไม่นานก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่มีความสุข พอเราทำอะไรแล้วรู้สึกว่ามีความสุข เราเข้าไปปุ๊บเราก็จะรู้ทันทีเลยว่านี่คือที่ของเราครับ
เริ่มเปิดร้านเป็นของตัวเอง
เอาตามตรงเลยก็คือ เปิดร้านตอนที่ยังทำผมไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ แต่พอเปิดเสร็จแล้วก็รู้สึกว่าถ้าเราทำผมไม่เป็น มันไปต่อไม่ได้แน่นอนก็เลยเรียนเพิ่มเติม หลังจากเรียนจบกลับมาแล้วก็ยังไม่มั่นใจ ยังไม่ได้ทำงานที่ร้านตัวเอง ไปทำงานที่อื่นก่อน ไปทำงานเป็นผู้ช่วยร้านแถวๆ ทองหล่อ ตอนนั้นได้เงินเดือนหมื่นห้า แต่ค่าที่จอดรถหมื่นแปด แต่เราก็อยากเรียนรู้การเป็น Professional ที่แท้จริง ก็ทำงานอยู่ที่นั่นเกือบปี แล้วถึงได้กลับมาทำที่ร้านของตัวเองครับ
ที่มาของชื่อร้าน Kudos
Kudos หมายถึงความรุ่งโรจน์ รุ่งเรือง ถ้าถามถึงที่มาก็มาจากการเรียนรู้ของตัวเองนี่แหละครับ เพราะผมก็จบปริญญาโทด้านมาร์เก็ตติ้งมาด้วย การที่ใช้ชื่อ Kudos มาจากหลักทางการตลาด คือ ใช้คำ 2-3 พยางค์ อ่านง่าย จำง่าย แล้วก็ความหมายดี
สร้างจุดเด่นให้ร้าน Kudos ยังไงบ้าง
มันก็เป็นการเรียนรู้อีกเหมือนกันนะครับ เพราะเราเข้ามาโดยที่ไม่ได้อยู่ในวงการนี้มาก่อน ช่วงแรกที่เปิดร้านมีการลองผิดลองถูกเยอะมาก แล้วก็มาลงตัวที่ว่าเราต้องเป็นคนที่เชี่ยวชาญอะไรสักอย่างให้ดีที่สุด เลยมาเลือกเอาว่าสิ่งไหนที่เราชอบมากที่สุด ก็มาตกอยู่ที่การดัดผม จากนั้นจึงไปศึกษาเรื่องการดัดให้เชี่ยวชาญมากที่สุด จนทุกวันนี้ถ้าเอ่ยชื่อร้าน Kudos ทุกคนก็จะนึกถึงการดัดเป็นอันดับหนึ่งมาก่อนเลยครับ
ตอนนี้ Kudos มีกี่สาขา
มี 4 สาขาแล้วครับ สาขาแรกก็คือที่นวมินทร์ซิตี้ อเวนิว ซึ่งสาขานี้เป็นสาขาบุกเบิกเริ่มต้นนะครับ จากนั้นได้ขยายมาสาขาที่ 2 คือที่ Crystal Park ตามมาด้วยสาขาที่ 3 เป็นแบบ Exclusive อยู่ที่ลาดพร้าว 113 และสุดท้ายสาขาน้องใหม่อยู่ที่ The Mall บางกะปิครับ
อุปสรรคในการทำงาน
ผมอยู่ในวงการมา 13 ปีแล้ว ถ้าถามว่าที่ผ่านมามีอุปสรรคอะไรบ้าง ต้องตอบเลยว่าเยอะมาก มีทุกวัน เราทำงานย่อมต้องมีปัญหาตลอดเวลา แต่ถามว่าเราแก้ไขหรือผ่านอุปสรรคเหล่านี้ไปได้ยังไงนะครับ ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่าตัวเองเป็นคนที่โชคดีมากที่มีทีมงานที่ดี เมื่อทีมงานดีก็จะซัพพอร์ตเราให้ไปข้างหน้าได้ไกลยิ่งขึ้น แต่เหนือสิ่งอื่นใดเลย สิ่งที่ตัวเองไม่เคยทิ้งเลยคือ เรื่องการเรียนรู้ ตัวเองจะเป็นคนที่เรียนรู้ตลอดเวลา มีคอร์สอะไรมาขอให้บอก จะไปตลอด คือเราไม่อยากหยุดนิ่งอยู่กับที่ครับ ถ้าเมื่อไหร่ที่เราหยุดนิ่งอยู่กับที่ โลกของแฟชั่น โลกของการเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะทิ้งเราไว้ข้างหลัง จนเรากลายเป็นไดโนเสาร์ไปในที่สุด
อะไรเป็นแรงผลักดันให้ก้าวผ่านปัญหามาได้
ตอนที่เปิดร้านสาขาแรกมีปัญหาเยอะมาก เพราะไม่มีประสบการณ์ด้วย มีช่วงที่เกือบจะต้องปิดร้าน เพื่อนที่หุ้นกันก็ไม่อยากทำต่อแล้ว ส่วนเราเองก็ไม่มีเงินเยอะแต่ตัดสินใจทำต่อ คือคิดไว้ว่าถ้าเราไม่เดินต่อ มันก็คือการที่เราล้มเหลวแล้ว เพราะเราลาออกจากงานวิศวกรที่เป็นงานประจำ และพ่อแม่รู้สึกว่ามันมั่นคง ถ้าเราทำร้านนี้ให้มันล้มเหลวอีก กลายเป็นว่าเราไม่มีอะไรที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่มีอะไรเลยที่ทำให้พ่อแม่ได้ภูมิใจ เราก็เลยต้องกัดฟันสู้ สู้ขึ้นมาเพื่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันประสบผลสำเร็จ ต้องถือว่าพ่อแม่มีส่วนที่สุดเลยครับ
ผลงานที่ภาคภูมิใจ
ตอนนี้ผมทำหน้าที่เป็น Brand Ambassador ของแบรนด์ Joico ประเทศไทย ดูแลในส่วนของผลิตภัณฑ์ต่างๆ นอกจากนี้ ก็ยังได้ทำหน้าที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการดัดจิตอลให้กับแบรนด์ Schwarzkopf Professional ประเทศไทย ดูแลในเรื่องของการดัดดิจิตอล การยืดวอลลุ่ม การยืดผมให้กับทาง Schwarzkopf ก็คือมีหน้าที่ไปอัพเดตเทรนด์ที่ต่างประเทศ แล้วกลับมาสอนให้กับช่างผมในประเทศไทยครับ
คิดว่าทั้งสองแบรนด์เห็นความสามารถอะไรในตัวเรา
คงเป็นเรื่องความเชี่ยวชาญด้านดัดดิจิตอลนะครับ เพราะว่าเราเข้ามาตรงนี้ก็ได้ดูแลเฉพาะทางส่วนของการดัดดิจิตอลเป็นหลัก และก็จะมีส่วนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะการดัดดิจิตอลมันก็ต้องใช้ทรีทเม้นต์ หลังดัดก็ต้องทำสี ทางผู้บริหารแบรนด์ก็เลยอาจจะเห็นตรงจุดนี้ว่าสามารถนำมาต่อยอดกับ Schwarzkopf และ Joico ได้ครับ
คติในการทำงาน
ผมจะถือคติว่า ‘โอกาสก็เหมือนไอศกรีม ถ้าเราไม่กินก็จะละลายทันที’ ทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตมันก็คือโอกาสทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโอกาสในการเรียนรู้ หรือการทำงานต่างๆ เพราะฉะนั้นเราต้องเตรียมตัวให้พร้อมเสมอ เมื่อโอกาสเข้ามาเราก็จะสามารถไปต่อได้ทันที มันจะน่าเสียใจมากกว่าถ้าโอกาสเข้ามาแล้วตัวเราเองนี่แหละเป็นคนที่ไม่พร้อม และยังมีคติประจำใจอีกข้อที่เด็กในร้านจะรู้กันดีก็คือ ‘ไม่มีคำว่าเดี๋ยวก่อน มีแต่คำว่าเดี๋ยวนี้’ ถ้าคิดอะไรปุ๊บต้องทำทันที เพราะถ้าเราปล่อยไปแล้วเดี๋ยวมันจะลืม หรือมันจะมีข้ออ้างต่างๆ ซึ่งทำให้เราไม่ทำ
แบ่งเวลาทำงานและเวลาพักผ่อนยังไงบ้าง
แทบจะไม่มีวันหยุดเลยก็ว่าได้ เพราะตอนนี้เรียนปริญญาเอกทุกวันอาทิตย์ ส่วนวันจันทร์ถึงวันเสาร์ทำงานอยู่ในร้านนี่แหละ แล้วส่วนใหญ่วันพุธก็จะต้องเข้าไปสอนให้กับทาง Joico หรือทาง Schwarzkopf ด้วยครับ แต่ผมจะคิดเสมอว่าถ้าเราแฮปปี้กับการทำงานและการเรียน ทุกเวลาของเรามันคือการพักผ่อน เราจะแฮปปี้กับมันเสมอครับ
ของสะสม
ของสะสมก็คือ ‘ความรู้’ ครับ เพราะตัวเองชอบที่จะเรียนรู้ตลอดเวลาเพื่อพัฒนาตัวเอง แต่ถ้าเป็นสิ่งของก็คือ น้ำหอม ก็ไม่เชิงสะสมนะ มันเป็นเรื่องของความชอบ พราะเรารู้สึกว่าคนตัวหอมมีเสน่ห์ ตอนนี้มีมากกว่า 100 ขวด ในห้องแต่งตัวจะมีมุมที่วางน้ำหอมไว้ตั้งแต่พื้นไปจนถึงเพดานเลย
ชอบแต่งตัวสไตล์ไหน
ถ้าวันทำงานก็จะเป็นลุคแคชชวล ใส่เสื้อยืด แล้วอาจจะมีสูทคลุม จะไม่ได้เน้นแฟชั่นหรือแอคเซสเซอรี่อะไรมากมาย จะเป็นลักษณะสบายๆ แต่ถ้าต้องไปสอนก็จะแต่งตัวเป็นทางการนิดนึงครับ ส่วนโทนสีเสื้อผ้าที่ชอบก็คือสีดำ เปิดในตู้มาจะมีแต่สีดำล้วนสีเดียวเลยครับ
วางเป้าหมายในอนาคตไว้ยังไงบ้าง
ตัวเองไม่ค่อยได้มีเป้าหมายที่ไกลๆ มากนะครับ ขอทำวันนี้ให้มันดีที่สุดก็พอ ส่วนจุดมุ่งหมายในตอนนี้ก็คืออยากเป็นช่างทำผมที่ทำให้ลูกค้ามีความสุขที่สุด และสามารถนำความรู้ของเราไปเผยแพร่ให้กับเพื่อนๆ ช่างทำผมได้
สิ่งที่ทำให้ก้าวมาถึงจุดนี้ได้
ทุกครั้งที่ทำงาน หรือไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามจะมี 3 สิ่งที่ยึดไว้เสมอ คือ ‘ตั้งใจ เต็มใจ เต็มที่’ แล้วตัวเองก็เชื่อว่า 3 สิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้แหละที่มันทำให้เรามีทุกวันนี้ได้ แต่ตัวเองก็จะยังไม่รู้สึกว่าประสบผลสำเร็จนะครับ แค่รู้สึกว่าเรามีทุกวันนี้ เพราะว่าเราตั้งใจทำสิ่งเหล่านี้ให้ดีที่สุดก็พอครับ
ฝากถึงช่างทำผมรุ่นใหม่
ผมจะเปรียบชีวิตเป็นกล่องใหญ่ๆ กล่องนึงนะครับ ถ้าเราเอาขยะไปใส่ในกล่องนั้น ไม่ว่าจะเรื่องนินทาคนนั้นคนนี้ หรือเรื่องไม่ดีต่างๆ ก็จะมีแต่ขยะอยู่ในกล่อง ตัวเราก็ไม่ต่างอะไรกับขยะ ฉะนั้น อยากฝากไว้ในเรื่องการเรียนรู้ เอาสิ่งดีๆ เข้ามาใส่ในกล่อง แล้วนำสิ่งที่ดีๆ เหล่านั้นไปใช้ให้กับลูกค้า เพื่อนๆ พี่น้องต่างๆ สิ่งแรกที่เราได้เลยก็คือ ความภาคภูมิใจ สิ่งที่สองที่เราได้คือความอิ่มใจเมื่อเราเห็นบุคคลเหล่านั้นได้รับสิ่งดีๆ จากเราไปแล้วเขารู้สึกมีความสุข อยากฝากเรื่องการเรียนรู้ไว้เป็นอันดับหนึ่งเลยครับ เรียนรู้ไว้ ความรู้ไม่เคยทำร้ายใคร รู้ไว้เถอะครับ สักวันนึงมันจะได้นำกลับมาใช้ในชีวิตของคุณเองครับ
โอกาสดีๆ ในชีวิต ไม่ได้มีเข้ามาบ่อยครั้ง เพราะฉะนั้นการเตรียมความพร้อมให้กับตัวเอง พัฒนาและหาความรู้อย่างไม่หยุดนิ่ง จะทำให้เราพร้อมคว้าทุกโอกาสที่เข้ามา ซึ่ง คุณต่อ-ธารากร ธาราธำรงฤทธิ์ ได้พิสูจน์ให้เราได้เห็นแล้วว่าเรื่องนี้เป็นความจริง
เตรียมพบกับ “โปรเจ็กต์ใหญ่” ของคุณต่อ และ Platform การเรียนรู้รูปแบบใหม่ได้ เร็วๆ นี้! ใครที่อยากเรียนรู้เทคนิคการดัดผมดิจิตอลสุดล้ำของคุณต่อ ไม่ควรพลาด ! แล้วเจอกันที่ Teach by Guru ติดตามได้ทางนิตยสาร และ Social Media Hairworld Plus+ เร็วๆ นี้!