ถ้าให้พูดถึวช่างทำผมชั้นนำของเมืองไทย และเป็นที่ยอมรับในระดับอินเตอร์ต้องมีชื่อของ “ป็อก เชลซี” หรือชื่อจริง “ศุภกิจ เมฆอำนวยชัย” อย่างแน่นอน เพราะด้วยประสบการณ์ในวงการแฟชั่นผมที่ยาวนานกว่า 40 ปี เคยร่วมงานกับช่างทำผมและเหล่าเซเลบริตี้ชื่อดังจากทั่วโลก แม้แต่เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์อังกฤษเขาก็เคยได้เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลมาแล้ว นอกจากนี้เขายังเป็นบล็อกเกอร์ด้านแฟชั่นผม ที่มีคนติดตามมากมาย ที่สำคัญยังเป็นผู้ที่มีความศรัทธาอย่างแรงกล้าทั้งในศาสนาพุทธและฮินดู โดยเป็นนักเขียนเกี่ยวกับเทววิทยาอีกด้วย วันนี้เป็นโอกาสที่ดีที่ Hairworld Plus จะพาไปรู้จักตัวตนและไลฟ์สไตล์ของ “ป็อก เชลซี”
HW+ ชีวิตวัยเด็ก
ตอนเด็กผมเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญแล้วมาต่อที่เซนต์จอห์น จากนั้นพออายุประมาณ 12 – 13 ปี ก็ไปเรียนต่อที่อังกฤษ โดยสอบได้ทุนที่มหาวิทยาลัย Oxford ในสาขาวิชาเทววิทยา หรือ Methodology and Philosophy แต่ว่าไม่ได้เรียนเพราะค่าใช้จ่ายสูง ผมจึงเดินทางไปเมือง Reading และได้ทุนจากมหาวิทยาลัย Reading ในสาขา เทววิทยา เรียน 2 ปีครึ่ง ตอนนั้นเป็นช่วงประมาณปี ค.ศ. 1976 ผมก็เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยโดยเป็นเด็ก Au Pair คือเด็กนักเรียนที่ทำงานและอาศัยอยู่กับแฟมิลี่แล้วก็ได้เงินเดือนด้วย ซึ่งปัจจุบันไม่มีแล้ว หลังจากเรียนจบผมย้ายกลับมาอยู่ลอนดอน ซึ่งในช่วงนั้นเพื่อนคนไทยทุกคนใฝ่ฝันอยากจะเป็นดีไซน์เนอร์กัน ผมเลยไปเรียนดีไซเนอร์ที่ London College Of Fashion เรียนได้ประมาณปีครึ่ง ก็เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่ แต่ก็เรียนจนจบ Certificate พอจบมาก็ไปทำงานตามโรงงานต่างๆ แต่มันเหนื่อยมาก และคิดว่าเราไม่มีเงินพอที่จะเป็นดีไซเนอร์ได้ เพราะคนที่จะเป็นดีไซเนอร์ชื่อดังได้ ต้องมีสปอนเซอร์ หรือมีเงินมหาศาลเพื่อใช้ผลักดันผลงานไปสู่ระดับอินเตอร์ได้ และเริ่มคิดจะกลับเมืองไทย
HW+ เริ่มเข้าสู่วงการช่างผมได้อย่างไร?
เรียกว่าเป็นความบังเอิญหรือโชคก็ได้ คือในยุคนั้นมีคนไปเรียนทำผมที่ลอนดอนเยอะมาก และมีคนดังๆ อย่าง คุณเล็ก เกตุวดี และคุณลินดา ค้าธัญเจริญ ก็ไปเรียนทำผมที่สถาบันวิดัล แซลซูน (Vidal Sassoon Academy) ซึ่งสมัยนั้นคุณลินดาสวยและดูเปรี้ยวมากๆ เป็นนางแบบในลอนดอนซึ่งค่อนข้างดังเลยทีเดียว ตอนนั้นตัวเองก็ยังไม่อยากเรียนทำผมอยู่ดี เพราะรู้สึกว่าน่าจะเหนื่อยมาก แต่บังเอิญว่า มีเพื่อนที่คอร์สสมัครเข้าเรียนที่สถาบัน วีดัล แซลซูนเอาไว้ ตอนนั้นราคาก็ประมาณ 80,000 กว่าบาท แต่เขาต้องไปอเมริกาก็เลยมาขายต่อให้แบบถูกๆ แต่ผมไม่ค่อยมีเงินก็เลยยกให้ ทำให้เหมือนว่าผมได้เรียนฟรี
HW+ ได้เรียนอะไรบ้าง และเรื่องราวประทับใจในช่วงนั้น?
พอได้เข้าไปเรียนก็เริ่มตั้งแต่คลาสแรกซึ่งสำคัญที่สุด เป็นการเรียน Theory การฝึกฝนต่างๆ เช่น การม้วนแกน การหวีผม จากนั้นก็เรียนตัดผมและทำสี ในคลาสต่อๆไป พอถึงช่วงที่เรียนใกล้จบ เด็กที่เรียนก็จะมีการแข่งขันว่าใครจะได้รางวัลกรรไกรทอง ซึ่งมีผมและชาวจีนอีกคนที่เป็นมือหนึ่ง แต่เกิดเรื่องทะเลาะกันเลยต้องยกเลิกรางวัลไป ซึ่งผมก็ไม่ใช่คนผิด เลยทำให้ผมพลาดไม่ได้รับกรรไกรทองในปีนั้นไป ในช่วงเดือนสุดท้ายที่เรียนจะจบ ก็จะมีคนจากร้านทำผม Head Hunter ซึ่งเป็นพระเกศาของเจ้าหญิงไดอาน่า ตอนนั้นท่านยังดำรงพระยศเป็นเลดี้ไดอาน่า สเปนเซอร์ ส่วนเจ้าของชื่อสตีเฟ่นจะมาดูแล คัดเลือกเด็กจากสถาบันวีดัล แซลซูน ไปเป็นลูกมือ คือเรียนจบช่างผมในอังกฤษไม่มีทางเปิดร้านเองหรือตัดผมได้เลย นอกจากเป็นโอเปอเรเตอร์ (Operator) อย่างน้อย ๆ 4 ปี เป็นจูเนียร์ 2 ปี แล้วขึ้นเป็นช่างตัดผม คือปีที่ 5 – 6 แล้วถึงจะได้ตัดผมได้ หรืออาจแยกไปเป็นช่างทำสี หรือด้านอื่นๆ ซึ่งในช่วงนั้นคุณสตีเฟ่นได้เลือกผมไปเป็นลูกมือ คอยส่งเครื่องมือให้คุณสตีเฟ่นเพื่อทำผม และทำสีผม ซึ่งท่านเสด็จมาง่ายๆ โดยรถออสติน ทรงแต่งกายเรียบๆ ชอบดื่มชา กับสโคน ผมอยู่ที่นี้ประมาณ 1 ปี พอข่วงที่ไดอาน่าเข้าพิธีอภิเษกสมรส ผมก็กลับไปทำที่วีดัล แซลซูน เพราะ ถูกเรียกตัวกลับไปช่วยงาน ทำอยู่ประมาณ 2 ปี กำลังจะเป็นระดับซีเนียร์ ก็ได้ไป ทำงานกับร้านทำผมชื่อ แอลฟอนโซ เป็นร้านชื่อดังในสมัยนั้น ที่บรรดาเชื้อพระวงศ์และเจ้าหญิงของอังกฤษ รวมทั้งคนดังๆ ทั้งหลายต้องมาทำผมที่นี้ และผมได้มีโอกาสร่วมงานกับนิตยสาร Vogue เป็นครั้งแรก โดยทำเกี่ยวกับโฆษณา
HW+ ที่มาของชื่อ “ป็อก เชลซี”
ที่จริงแล้วผมใช้ชื่อร้านว่า “เชลซี” (Chelsea) ส่วนป็อกก็เป็นชื่อเล่นของผมมาตั้งแต่เด็กๆ สาเหตุที่ตั้งชื่อร้านว่า “เชลซี” เพราะในพจนานุกรมของอังกฤษคำว่า Chelsea ไม่ได้หมายถึงทีมฟุตบอล แต่หมายถึง Luxury ความหรูหรา และ Artist ศิลปะ ซึ่งเชลซี เป็นแหล่งกำเนิดศิลปะหลายขแนง และดารานักแสดงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นรถ Sport Car มีถนน King ‘s Road และ The Beatles กับ Vivienne Westwood ก็เกิดที่นี้
HW+ ความแตกต่างระหว่างการเป็นช่างผมที่เมืองไทยกับเมืองนอก
ผมอยู่ที่อังกฤษทั้งหมด 15 ปี ซึ่งการที่เป็นช่างผมในอังกฤษได้ จะต้องมีใบอนุญาติ ซึ่งผมได้รับใบอนุญาติประเภท World Federation ที่สามารถทำงานได้ทั่วโลก และได้ใบ Insurance สามารถทำงานได้ทั่วยุโรปและอเมริกา การทำงานทุกอย่าง เราจะต้องอยู่กับเอเจนซี่ที่จะคอยหางานให้เรา ถ้าจะถามว่าเป็นช่างทำผมสนุกไหม ตอบได้ว่าสนุกและเหนื่อย แต่ถ้าให้เลือกว่า จะทำงานที่เมืองไทยหรือเมืองนอก ผมอยากทำที่เมืองไทย เพราะสะดวกสบายและสนุกว่า เพราะทำงานที่เมืองนอกเมื่อหักค่าอะไรต่างๆ เบ็ดเสร็จแล้วก็ได้เท่ากับทำที่เมืองไทย แต่การเป็นช่างผมที่เมืองนอกก็ถือได้ว่าให้ประสบการณ์จากผู้คนที่หลากหลาย
HW+ จุดเริ่มต้นในการดูแลทรงผมให้เซเลบริตี้
ช่วงประมาณ ค.ศ. 1976 ผมมีโอกาสได้เรียนกับคุณวิดัล แซลซูน ที่จะเข้ามาสอนที่สถาบันในคลาสเกี่ยวกับบุคลิกภาพและการเป็นช่างทำผม สมัยนั้นมีคนเรียนไม่เยอะ ประมาณ 13 คน ท่านก็มักจะพูดคุยกับทุกคน และก็จะบอกว่าคนไหนที่ใช่ หรือไม่ใช่ ช่างทำผม ซึ่งผมจำได้ว่าวันนั้นท่านพูดกับผมว่า “เธอคือช่างทำผม” เธอจะต้องทำผมให้เซเลบริตี้ เพราะลุคของเธอคือใช่ และเธอจะไม่มีทางหนีจากโลกของช่างทำผมได้ เธอต้องทำตลอดชีวิต หลังจากคุณแซลซูนพูดแล้ว ผมก็ได้มีโอกาสได้ทำผมให้นางเอกดังที่สุดในยุคนั้น และนางแบบของนิตยสาร Vogue
ผมถูกกำหนดให้ดูแลเซเลบริตี้มาตั้งแต่แรก และปัจจุบันก็ยังทำงานกับเซเลบริตี้อยู่ ที่ผ่านมามีภาพยนตร์ต่างประเทศที่มาถ่ายทำที่เมืองไทยหลายเรื่องที่ผมได้ดูแลทำผมให้ เช่น เรื่องอเล็กซานเดอร์ ส่วนนักแสดงที่เข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์และโฆษณาในไทยก็เช่นกัน อย่างเช่น หลิวเต๋อหัว ฟ่านปิงปิง จางชิยี่ ล่าสุดก็ได้ดูแลสีผมให้นางเอกภาพยนตร์ของ NetFlix ที่กำลังจะขึ้นเบอร์หนึ่งของฮอลลีวู้ด คือ Ana de Armas ซึ่งมาถ่ายภาพยนตร์ที่เมืองไทยเรื่อง Sergio ซึ่งผมเป็นคนที่ทำผมสีบลอนด์ให้ทั้งหมด
HW+ การทำงานกับเซเลบริตี้มีความยากหรือลำบากอย่างไรบ้าง
การทำงานกับเซเลบริตี้เป็นเรื่องที่ยาก เพราะเขาต้องระวังเรื่องลุค เรื่องสีผม โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ใช้ ซึ่งเราต้องทำงานแบบมืออาชีพ และที่ผ่านมาผมเจอเคสยากๆมาตลอด ซึ่งเหนื่อยมากๆ และก็ไม่ได้เงินเยอะอย่างที่หลายคนคิด สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมได้รับเลือกให้ทำงานกับเซเลบริตี้ก็น่าจะเป็นเรฟเฟอเรนซ์จากบล็อกที่ผมทำไว้ ซึ่งผมจะคอยอัพเดทผลงานลงในบล็อคอยู่ตลอด
HW+ ทำไมถึงเริ่มทำบล็อกของตัวเอง?
ผมเริ่มทำบล็อกมาได้ 5 – 6ปีแล้ว เพราะเพื่อนที่เป็นช่างทำผมชื่อดัง ในอังกฤษ และยุโรปบอกว่าผมพร้อมที่จะทำได้แล้ว เพราะผมเป็นคนพิเศษนะ ผมก็เลยลองทำดู ซึ่งบล็อกนี้ก็มีคนติดตามทั่วโลก แต่ผมก็ไม่ได้หวังจะให้มีคนเข้ามาดูเป็นล้านๆนะ แค่ต้องการทำไว้เป็นเรฟเฟอเรนซ์จากบล็อกที่ผมทำไว้ ซึ่งผมจะคอยอัพเดทผลงานลงในบล็อกอยู่ตลอด
HW+ อยากแนะนำอะไรกับช่างทำผมที่อยากทำงานระดับอินเตอร์บ้าง
ต้องหมั่นสร้างผลงาน และทำให้คนอื่นๆได้เห็น อย่างการทำเรฟเฟอเรนซ์เอาไว้ หรือการทำบล็อกอย่างที่ผมทำก็เป็นตัวช่วยอย่างหนึ่ง ผมจะเป็นโปรดิวซ์หรือสร้างผลงานออกมาอย่างสม่ำเสมอทำเป็นซีซั่นเป็นคอลเล็คชั่นไป เช่น Spring/Summer , Autumn/Winter ส่วนผลงานที่ทำกับพวกเซเลบริตี้ผมก็เอามาลงในบล็อก เช่นกัน ซึ่งมันเป็นส่วนนึงให้คนมาจ้างเรา และได้ทำงานกับเซเลบริตี้หลายๆครั้งด้วย
HW+ เริ่มสนใจเรื่องศาสนาฮินดูมาตั้งแต่เมื่อไหร่?
ช่วงทีอยู่อังกฤษผมทำงานและมีเจ้านายที่เป็นฮินดูที่รักผมมาก จึงเป็นรากฐานที่ทำให้เราได้เข้าไปในศาสนาฮินดู พร้อมวิชาด้านเทววิทยาและหลักปรัชญาที่ได้เรียนมา ซึ่งแตกแขนงไปเป็นกรีกกับอินเดีย และจริงๆแล้วคนไทยเราก็เป็นพุทธศาสนามหายาน คือมีการไหว้พระพุทธร่วมกันมาแล้ว
HW+ ของสะสม?
ผมสะสมเทพฮินดูมากที่สุดคือพระพิฆเนศ ตอนนี้ก็น่าจะมีร้อยกว่าองค์ ซึ่งพระพิฆเนศถือว่ามีความสำคัญต่อผมมาก เพราะให้ความสำเร็จกับผมในช่วงเรียนอยู่ที่อังกฤษ ช่วงนั้นกำลังจะสอบเข้าระดับมหาวิทยาลัยผมก็นึกในใจว่า ขอให้ได้ที่ Oxford ซึ่งผมก็ได้ทุนนี้จริงๆ และทำให้ผมบูชาท่านมาตลอด แต่ อาจารย์ของผมเคยสอนว่า พระพิฆเนศมีไว้เพื่อให้ ไม่ได้มีไว้เพื่อขาย ถ้าเมื่อใดที่คุณขายพระพิฆเนศแล้วความสำเร็จคุณจะหายหมด ฉะนั้น ผมก็เลยสะสมพระพิฆเนศเก็บไว้ คิดว่ายิ่งมีเยอะความสำเร็จก็ยิ่งเยอะ และยิ่งให้คนเยอะตัวเองก็จะยิ่งร่ำรวยและประสบความสำเร็จ ผมก็จะแจกพระพิฆเนศเป็นส่วนใหญ่ครับ
HW+ ได้นำเรื่องของความศรัทธามาปรับใช้ในการทำงานอย่างไร?
ศรัทธาอยู่คู่กับความเชื่อต่างๆ ในโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ การสวดมนต์ การทำมุทราหรือการทำสมาธิมือในท่าต่างๆ ซึ่งมุทราที่เห็นได้มากที่สุดคือพระพุทธรูปปางต่างๆ เมื่อเราทำแล้วออร่าจะเรืองรอง สามารถทำตอนไหนก็ได้ สำหรับเรื่องพวกนี้เป็นศาสตร์ สามารถช่วยให้สภาวะจิตใจในการทำงานดีขึ้น
HW+ ฝากถึงช่างผมรุ่นใหม่
อยากให้รักษาเอกลักษณ์ความเป็นไทยอย่างการไหว้ การมีมารยาทงาม เพราะเราได้มีโอกาสสัมผัสศีรษะทีเป็นของสูง ซึ่งตัวผมนั้นก่อนทำผมให้ลูกค้าก็จะยกมือไหว้ ผมเคยทำเช่นนี้กับลูกค้าฝรั่งและเซเลบริตี้ฮอลลีวู้ดมาแล้วแล้วเขาก็ชอบมาก เพราะเป็นเอกลักษณ์ความงดงามของคนไทยในร้านเสริมสวยซึ่งกำลังสูญหายไปก็อยากให้รักษาเรื่องนี้ไว้นะครับ
แม้จะเข้าสู่วงการช่างทำผมด้วยความบังเอิญ แต่ช่วงเวลากว่า 40 ปี ที่ผ่านมาของเขาได้พิสูจน์ให้พวกเราได้เห็นแล้วว่า มีความสำเร็จที่ได้มา ไม่ใช่เพราะโชคหรือความบังเอิญ แต่เป็นเพราะการทำงานด้วยความมุ่งมั่น พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ รักษามาตราฐานการทำงานแบบมืออาชีพ สิ่งเหล่านี้เป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับช่างทำผมรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี