จากแถลงสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ของ ศบค. เมื่อวันที่ 21 พ.ค. 63 ที่ได้เผยข้อมูลเกี่ยวกับผู้ป่วยรายใหม่ 1 ใน 3 เป็นชายไทยอายุ 72 ปี มีโรคประจำตัวเบาหวาน มะเร็งปอด ไปรักษาที่ โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และมีประวัติไปตัดผมแถวประชาชื่น ต่อมามีอาการไข้ ไอ มีเสมหะ จึงไปรับการรักษาที่ โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง และย้ายมาที่โรงพยาบาลรัฐแห่งเดิมที่เคยรักษา และตรวจพบเชื้อในวันที่ 20 พ.ค. 63
ล่าสุด วันที่ 23 พ.ค.63 นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผอ.กองโรคติดต่อทั่วไป ได้เผยว่า จากการสอบสวนโรคจาก ผู้ป่วยชายอายุ 72 ปี ที่มีประวัติเดินทางไปโรงพยาบาล และร้านทำผมย่านประชาชื่นนั้น พบว่าผู้ป่วยมีการเฝ้าระวังตัวเองเป็นอย่างดี เนื่องจากมีโรคประจำตัว จึงสวมใส่หน้ากากอนามัยอยู่ตลอดเวลา
นอกจากนี้ทีมสอบสวนโรคยังได้ตรวจสอบไปยังร้านทำผมที่ชายวัย 72 ปี ไปตัดผม ซึ่งพบว่าในช่วงเวลาดังกล่าวไม่มีลูกค้าคนอื่นๆ อยู่ภายในร้าน มีเพียงพนักงานในร้าน 8 คน เท่านั้น ซึ่งทุกคนสวมหน้ากากอนามัยอยู่ตลอด จึงถือว่าเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำ
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการปิดร้านตัดผมดังกล่าวลงชั่วคราว และให้พนักงานกักตัวเป็นเวลา 14 วัน เพื่อดูอาการ และนอกจากพนักงานร้านตัดผมแล้ว ยังมีสมาชิกในครอบครัวของผู้ป่วยอีก 3 คน ที่อยู่ในระหว่างตรวจหาเชื้อ ซึ่งผลการตรวจจะออกในวันที่ 23 พ.ค. นี้ ส่วนสาเหตุของการติดเชื้อยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ
ด้าน นพ.อนุพงศ์ สุจริตกุล ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค ได้กล่าวว่า ช่างทำผมและพนักงานในร้าน เป็นกลุ่มเสี่ยงเพราะคือผู้ที่มีการสัมผัสกับผู้ป่วย แต่เนื่องจากผู้ป่วยและช่างตัดผม มีการใส่หน้ากากป้องกันทั้งสองฝ่าย จึงมีโอกาสได้รับเชื้อน้อยและถือว่าเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่ทั้งนี้ก็ยังคงต้องขอความร่วมมือจากทางร้านตัดผมให้ปิดร้านเพื่อกักตัวกันไปก่อน เพื่อความปลอดภัยและความสบายใจ
จากข้อมูลในข้างต้นจะเห็นได้ว่า มาตรการป้องกันไม่ว่าจะเป็น การนัดจองคิวล่วงหน้า ลงบันทึกรายชื่อลูกค้า การสวมหน้ากากอนามัย ทั้งผู้ประกอบการและลูกค้า รวมไปถึงการเว้นระยะห่าง ไม่รวมกลุ่ม หรือเปิดให้บริการไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อรายนั้น เป็นมาตรการที่ช่วยลดความเสี่ยงลงได้