ถ้าพูดถึงช่างผม หรือ Hairstylist อันดับต้นๆ ของประเทศ ผู้ที่คลุกคลีอยู่ในวงการแฟชั่นผม เบื้องหลังความสวยงามของดาราดังระดับซุปเปอร์สตาร์ชั้นแนวหน้าของไทย เบื้องหลังแฟชั่นสวยๆ บนเวทีแคทวอร์ค และซีเลปบริตี้ของวงการแฟชั่นผม หนึ่งในนั้นจะต้องมีชื่อ หรั่ง พรเทพ หวันปาเต๊ะ แห่ง The Louge Hair Salon อย่างไม่ต้องสงสัย วันนี้ HW จะพามารู้จักตัวตน ชีวิต และไลฟ์สไตล์ของผู้ชายคนนี้ให้มากขึ้น
HW : ช่วงวัยเด็ก?
พี่หรั่ง : เป็นคนสงขลาครับ คนใต้ พ่อแม่ก็เป็นชาวประมงนี่แหละ บ้านอยู่แถบชายทะเล เป็นเด็กต่างจังหวัดที่ค่อนข้างเรียบร้อยไม่ออกนอกลู่นอกทาง
HW : อะไรเป็นจุดเริ่มต้นให้สนใจด้านผม?
พี่หรั่ง : จุดเริ่มต้น เริ่มจากสนใจเรื่องความสวยความงาม น่าจะประมาณ ป.6 ช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ก็จะไปเรียนที่ศูนย์ฝึกวิชาชีพ เพราะได้เรียนฟรี เรียนการใช้ปัตตาเลี่ยนตัดผมผู้ชาย แต่หลังจากนั้นก็หยุดไปจนกระทั่งเรียนจบ ปวช. และตั้งใจว่าจะมาเรียนต่อไทยวิจิตรศิลป์ที่กรุงเทพฯ แต่ว่าตอนนั้นเราก็เด็กบ้านนอกเนอะ ไม่ค่อยรู้เรื่องหาโรงเรียนไม่เจอ นั่งรถเมล์จนหลง ก็ไปเจอโรงเรียนกรุงเทพการบัญชีก่อน ซึ่งวันนั้นเขารับสมัครวันสุดท้ายพอดี เลยตัดสินใจเอาวะ! เรียนก็เรียน (หัวเราะ) พอเข้ามหาวิทยาลัยก็เลือกเรียน Interior Design ที่ ม.รังสิต ก็ยังไม่ใช่เกี่ยวกับผม จนกระทั่งตอนอยู่ปี 2 ได้ไปฝึกงานและได้รู้จักกับเพื่อนเป็นคอสตูมดีไซน์อยู่แกรมมี่ ตอนนั้นก็ได้ทำสามหนุ่มสามมุม เพลงก็ยุค เจ-เจตริน อะไรแบบนี้ จนมารู้จักช่างผมคือ คุณแอ้ว-แกรมมี่ เขาก็สอนให้ไดร์ผม พอทำรู้สึกชอบ เลยลองไปเรียนที่เกศสยาม เรียนทำผมตอนนั้นเราดรอปเรียนมหาวิทยาลัยด้วย จนพี่สาวต้องเรียกมาคุยว่าจะเอายังไง จะเรียนจนจบไหม จะเป็นคอสตูมหรือจะทำผม จะเรียนอะไรก็ให้เป็นเรื่องเป็นราวไปเลย สรุปตัดสินใจไปเรียนทำผมต่อที่เมืองนอก ซึ่งไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษที่ไทยก่อน ตอนนั้นกะไปลุยเอาดาบหน้า
HW : ชีวิตในต่างประเทศ?
พี่หรั่ง : ได้แฟน… กว่าจะได้ก็ปีหนึ่ง แต่คุ้มนะ เราเข้าถ้ำเสื้อก็ต้องได้ลูกเสือ (หัวเราะ) เพื่อนที่โน่นส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ ฝรั่ง ญี่ปุ่น คือเน้นว่าอยากฝึกภาษา ช่วงแรกที่ไปก็ไปเรียนภาษาที่อังกฤษนั่นแหละ 6 เดือน เพราะตอนสมัครเรียนที่ Vidal Sassoon เขาบอกว่าภาษาไม่ค่อยดีนะให้ไปหาที่เรียนก่อน เราเลยทำงานที่ร้านอาหารไทยกลางคืนด้วย ทั้งเสิร์ฟ กวาดพื้น ถูพื้น ทำหมดทุกอย่าง กลางวันก็ไปเรียนภาษา 9 โมงเช้า – 6 โมงเย็น ตั้งแต่วันจันทร์ – ศุกร์ พอจบคอร์สภาษาถึงได้สมัครเรียนทำผม ที่นี่จะแบ่งเป็น 7 Level โดยแต่ละ Level เรียน 7 สัปดาห์ การขยับขึ้นแต่ละ Level ต้องทำรายงาน ก็ทำจนได้ The Best Student ทุก Level พอคลาสสุดท้าย Level 7 จะส่งรายงานดันหายหมดเลยทั้งล็อคเกอร์ โดนอิจฉาโดนแกล้ง สุดท้ายปรึกษาอาจารย์บอกว่ายังไงก็ต้องทำใหม่ เอาเท่าที่ทำได้ ก็ช่วยกันทำใหม่กับแฟนเอาแค่คร่าวๆ คือนึกแล้วก็เสียดายเพราะมันได้ระดับ The Best ทั้งหมด แต่สุดท้ายก็ได้ใบ Diploma มา
HW : หลังจากเรียนจบด้านทำผม?
พี่หรั่ง : หลังจากเรียนจบตั้งใจจะอยู่ทำงานต่อที่อังกฤษสักพักหนึ่ง แต่พอดีคุณพ่อไม่สบายจึงกลับมาดูแลท่าน แล้วก็รับงานฟรีแลนซ์เป็นแฮร์สไตลิสต์ให้กับนิตยสารแพรว, สุดสัปดาห์, ดิฉัน อะไรประมาณนี้ไปด้วย ทำอยู่ประมาณ 10 กว่าปีก็มาเป็นแฮร์สไตลิสต์ออกแบบทรงผมให้กับนักร้อง RS และ Grammy จากนั้นก็มาอยู่ The Lounge Hair Salon
HW : เรื่องฝังใจในวงการแฟชั่น?
พี่หรั่ง : มีเยอะมาก ทั้งเมื่อก่อนเจอรุ่นพี่แบบห้ามเรามองเขาตอนทำผมก็มี เจอเคสแบบเอาน้ำมาล้างหัวนางแบบให้เราทำใหม่ก็มี พอนึกย้อนกลับไปก็ โอ้…ฉันเจอแบบนี้เลยเหรอเนี่ย (หัวเราะ)
HW : การทำงาน Back Stage ในงานแฟชั่นวีค?
พี่หรั่ง : ช่วยกันกับพี่ไก่ ได้ลองทำแฟชั่นวีคหลายซีซั่นอยู่เหมือนกัน บรรยากาศ Back Stage สมัยก่อนกับสมัยนี้ต่างกันมากนะ เมื่อก่อนอย่างมากก็จะจัดกันตามโรงแรมคนจะน้อยกว่านี้ แต่เดี๋ยวนี้คือเยอะมาก แล้วก็เคยทำ Back Stage ของ America’s next top model ปีที่ นาโอมิ แคมเบลล์ มาไทย พี่ได้ทำในส่วนของนางแบบที่เข้าร่วมประกวด ซึ่งเป็นการทำงานที่ต้องมีการเซ็นสัญญาด้วย ทุกภาพที่ออกสื่อจะมาจากทาง Official อย่างเดียว
HW : ทำผมให้ใครแล้วประทับใจสุดๆ?
พี่หรั่ง : ทำผมให้ คุณตุ๊ก-จันจิรา กับ พี่เบิร์ด-ธงไชย
HW : การทำงานที่ THE LOUNGE HAIR SALON ทุกวันนี้?
พี่หรั่ง : ยังทำให้ลูกค้าอยู่เพราะมีความสุขที่ได้ทำผลงานด้วยตัวเอง ได้เห็นรอยยิ้มของลูกค้าที่ชื่นชอบผลงานของเราบางทีมันก็หายเหนื่อยไปเองโดยอัตโนมัติ นอกจากนั้นก็จะมีเทรนเด็กในร้าน พี่จะยึดหลักพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 อยู่เสมอ ถ้าเราทำหน้าที่ของเราให้เต็มที่ที่สุด มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน ความผิดพลาดก็จะน้อยลง และจะแบ่งปั่นความรู้ให้กับลูกน้องเสมอ สอนเด็กๆ ให้ดี เป็นตัวอย่างที่ดี เช่น ถ้าเราคิดดีลูกค้าจะสัมผัสได้ ดังนั้นเราต้องจริงใจและซื่อสัตย์ อะไรที่เราเก่งไม่เก่งค่อยๆ ปรับ อย่าไปหลอกล่อว่าทำทุกอย่างได้ จะยืนจะนั่งก็สำคัญกิริยามารยาทต้องสำคัญ นอกจากนั้นต้องจัดท่าให้เหมาะกับสุขภาพเราด้วยจะได้ไม่มีปัญหาเรื่องกระดูกเรื่องเส้นประสาทตามมา
HW : ทำงานเยอะขนาดนี้ มีวันหยุดบ้างไหม?
พี่หรั่ง : หยุดน้อยมาก แต่จริงๆ พี่ทำงานเกือบทุกวัน เพราะเป็นคนชอบทำงาน อยากทำให้เต็มที่ คือเวลาที่ผ่านมาเราเคยใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่ง พอตอนนี้เราเป็นผู้บริหารแล้วเวลาทำแต่ละอย่างเราต้องคิดว่า ทำยังไงลูกน้องหลายสิบคนถึงจะมีงานต่อไปได้ ทุกคนต้องกินต้องใช้ ถ้าตัวคนเดียวคงไม่ห่วงอะไรขนาดนี้
HW : เล่าเรื่องความรักบ้าง?
พี่หรั่ง : ไม่มีหรอก ผ่านมานานแล้วคงกลัวเรื่องความรัก (หัวเราะ) ตอนนี้ก็อยู่ตัวคนเดียวมาตลอด ออกไปทำงานแล้วก็กลับบ้าน ที่ผ่านมาเมื่อความรักไปต่อไม่ได้มันก็เป็นปกติของการคบกันเลิกกันนั่นล่ะ แต่ถามว่าโกรธมั้ย? คือไม่นะ อยากขอบคุณเขาเสียอีกที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทำให้เราดูแลตัวเองดีขึ้น เข้มแข็งขึ้น นี่คือชีวิตของคนที่ไม่ได้เรียบง่ายเสมอไป (พูดถึงตรงนี้พี่หรั่งยิ้มกว้างมากจนทีมงานยิ้มตามไปด้วย)
HW : แนวเพลงที่ชอบ?
พี่หรั่ง : ความชอบส่วนตัวพี่จะชอบฟังเพลง Jazz เวลาอยู่บ้านก็จะเปิดตลอด ถ้าอยากเปลี่ยนอารมณ์ฟังเร็วๆ ก็ Hip Hop เลย แต่ไม่ชอบฟังเพลงรัก (หัวเราะ) ชอบฟังเพลงช้าๆ เศร้าๆ แต่ต้องเป็นเพลงฝรั่งนะ สำหรับเรามันโอเค เพราะถ้าให้ฟังเพลงเศร้าที่เป็นเพลงไทย คือมันจะอินลึกซึ้งไปใหญ่ (หัวเราะหนัก) ชอบเสียงเพลงตรงที่ทำให้เรามีพลังในการทำงาน เมื่อมีพลังด้านดีก็จะส่งต่อไปยังลูกค้าได้
HW : ไล่เรียงของสะสมกันหน่อย?
พี่หรั่ง : หลายอย่างมาก เพราะเป็นคนชอบเดินทาง ส่วนใหญ่พี่จะไปกับเพื่อนสนิทที่ Issue อย่างแรกเลยคือ ตรงหิ้งพระกับพวกสร้อยได้มาตอนไปทิเบต, เนปาล, อุซเบกิสถาน กับตุรกี คือจะไปเมืองแขกเยอะ แต่ก็มีที่อื่นด้วยนะอย่างสวิตเซอร์แลนด์ก็ไป นอกจากนี้ยังสะสมแว่นตากับหมวกซึ่งมีเยอะมากๆ
HW : ชอบแต่งตัวสไตล์ไหน?
พี่หรั่ง : ใส่ง่ายๆ สบายๆ ชอบประมาณแนวสตรีทแวร์ บางทีก็เป็นแนวร็อคบ้าง เน้นโทนสีเข้มเป็นหลัก เช่น ดำ เทา น้ำตาล ขาว ถ้าเป็นสีสดใสก็พวกสีฟ้า แต่ไม่ชอบสีแดงแป๋นๆ
HW : ออกกำลังกายบ้างมั้ย?
พี่หรั่ง : ชอบออกกำลังกายช่วงเวลา 10 โมงเช้า กับประมาณ 4 ทุ่ม โดยช่วงเช้าจะออกไปวิ่งก่อนแล้วต่อด้วยปูผ้ายืดเส้นเล่นโยคะ ที่เหลือก็ไปเรียนโยคะข้างนอก
HW : ควบคุมอาหารด้วยหรือเปล่า?
พี่หรั่ง : ไม่ถึงขนาดควบคุม แค่ไม่ทานเนื้อเฉยๆ เพราะเวลาทานแล้วรู้สึกย่อยยาก อึดอัด ส่วนอย่างอื่นเราก็จะเลือกกินมากขึ้น เลือกเฉพาะของที่ชอบและดีต่อสุขภาพ
HW : วันว่างทำอะไร?
พี่หรั่ง : มีเวสป้าคันหนึ่งชอบขับไปมาในทองหล่อ ถ้าอากาศดีก็จะขับเวสป้าไปทำงานด้วย บางทีก็ไปนั่งร้านกาแฟ ไปเรียนกายกรรมที่สตูดิโอ ตั้งแต่เที่ยง-สี่ทุ่ม อยู่นานเลย (หัวเราะ) เพราะว่าที่นี่มีเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งที่รักการเล่นกายกรรม และพี่คิดว่ากายกรรมคือส่วนหนึ่งของการออกกำลังกาย เป็นการใช้กล้ามเนื้ออย่างถูกต้อง ได้ยืดเส้นสาย ได้ผ่อนคลาย ฝึกสมาธิ คือ ถ้าสมาธิหลุดหรือคิดเรื่องอื่นๆ ก็จะเกิดอันตรายได้รับบาดเจ็บได้ง่าย ที่เรียนอยู่ตอนนี้คือ Aerial Fabric, Rope, Strap
HW : ชอบออกทริปหรือแฮงก์เอาท์มากกว่ากัน?
พี่หรั่ง : ชอบไปแบบเป็นทริปท่องเที่ยวมากกว่า เพราะทุกวันนี้รู้สึกพอแล้วกับบุหรี่และเหล้า พอเราได้ออกกำลังกายจะรู้สึกเลยว่าของพวกนี้ทำให้แรงตก พอย้อนคิดไปสมัยก่อนเราดื่มเยอะมันก็แฮงก์ พอทำงานก็แฮงก์ จนทำงานไม่เต็มที่แล้วก็จะบ่นกับตัวเองว่าทำงานไม่ไหว…เลยพูดกับตัวเองว่า แล้วจะบ่นทำไมในเมื่อเรากินเอง ดังนั้นก็หยุดสิ ถ้าไม่อยากแฮงก์ มันไม่แฟร์กับลูกค้าด้วย ถ้าเราทำงานแล้วทำได้ไม่เต็มที่
HW : ให้นิยามตัวเอง?
พี่หรั่ง : เป็นคนที่จบแล้วจบเลย งานจบ เรื่องจบ ห่วงลูกน้อง เป็นคนที่ใจเย็นนะ แต่ถ้าวันไหนรู้สึกว่าตัวเองเริ่มใจร้อนก็จะเดินออกไปสงบอารมณ์ตั้งสติใหม่
กว่าจะมาถึงวันนี้ ไม่ง่ายเลยสำหรับเส้นทางชีวิตที่เลือกเองของผู้ชายคนนี้ การได้ทำงานในวงการแฟชั่น การพัฒนาทักษะฝีมือ และวางตัวให้เป็นที่ยอมรับ เพื่อจะได้ก้าวขึ้นมาเป็น Hairstylist อันดับต้นๆของเมืองไทย ช่างไม่ใช่เรื่องง่ายเอาเสียเลย แต่ในวันนี้ ผู้ชายคนนี้ก็ทำให้เราได้เห็นมุมมองในบางมุม ที่เราอาจไม่เคยได้รู้ว่า กว่าจะมาถึงวันนี้ เขาต้องเจอกับอะไรบ้าง Lifestyle การเดินทางมาจนถึงวันที่ทุกคนรู้จัก หรั่ง พรเทพ หวันปาเต๊ะ4