จากเหตุดราม่ากรณีที่นักร้องและดาราสาว “ซีแนม สุนทร” หรือ “ซีแนม AF1” ได้ออกมาโพสต์ระบายความในใจ และร้องเรียนผ่านสื่อว่าไปทำสีผมที่ร้านทำผมแห่งหนึ่งย่านจอมทอง แต่ต่อมาผมเสียและร่วงเกือบทั้งหัว ทำให้ต้องจำใจตัดผมที่ไว้ยาวมานานเป็นผมสั้นเกือบจะรองทรง ต้องย้อมผมดำทับ เสียเงินเป็นหลักหมื่น แต่สุดท้ายพังทั้งหัว จนทำให้เพื่อนๆ ในวงการและหลายฝ่ายออกมาแสดงความเห็นใจนั้น
ล่าสุดทางเจ้าของร้านคู่กรณี คือ “คุณเป๊กกี้-วรารัตน์ นาคผจญ” เจ้าของร้าน Senpom Salon (เส้นผมซาลอน) ก็ได้ออกมาชี้แจงผ่านทางเพจของร้าน รวมทั้งสื่อมวลชนหลายสำนัก เพื่อขอความเป็นธรรมให้กับร้านของตนเอง พร้อมหอบหลักฐานต่างๆ ทั้งภาพถ่ายช่วงที่ซีแนมไปทำผม ซึ่งก็ยังไม่มีปัญหาเกิดขึ้น และภาพจากกล้องวงจนปิดของทางร้านในวันที่ซีแนมไปแสดงท่าทางโวยวายและเรียกร้องขอให้ร้านออกมารับผิดชอบ โดยทางร้านตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ซีแนมทำผมที่ร้านไปนานถึง 5 เดือน แล้วทำไมถึงเพิ่งมาร้องเรียนว่าผมเสีย เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง แถมยังให้เพื่อนโทรศัพท์มาพูดจาหยาบคายอีกด้วย ซึ่งทาง Hairworld Plus+ ได้มีโอกาสได้สัมภาษณ์คุณเป๊กกี้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ก่อนที่จะไปฟังความในใจของคุณเป๊กกี้ เราขอนำข้อมูลของทางร้านมาให้อ่านรายละเอียดกันอีกครั้ง
โดยข้อความที่ทางร้านชี้แจงมีดังนี้
“ชี้แจงกรณีข่าวที่เกิดขึ้น กราบเรียนพี่น้องสื่อมวลชนและคุณลูกค้าทุกท่าน พี่เป๊กกี้ในฐานะเจ้าของร้านเส้นผมซาลอน รู้สึกเสียใจและตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พี่ขอเรียนชี้แจงในประเด็นที่สังคมสงสัยใน 7 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นที่ 1
น้องให้สัมภาษณ์สื่อว่าบำรุงรักษาผมตลอดเวลา 3 ปี ไม่เคยทำสีผม
ข้อเท็จจริงคือ น้องให้เพื่อนทำสีให้แล้วผมเสีย จากนั้นวันที่ 12 ธันวาคม 2562 น้องเข้ามาที่ร้าน โดยต้องการให้ทางร้านแก้ไขสีผมให้ ซึ่งทางร้านก็ดำเนินการให้เป็นอย่างดี น้องก็พึงพอใจ และได้อนุญาตให้ทางร้านถ่ายภาพเก็บไว้ตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนถึงขั้นตอนสุดท้าย ก่อนกลับน้องยังร้องเพลงให้ช่างทำผมฟังด้วย
ประเด็นที่ 2
น้องให้สัมภาษณ์สื่อว่าประมาณ 2 สัปดาห์ น้องกลับเข้ามาทำสีผมที่ร้านอีกครั้ง โดยใช้เวลาตั้งแต่ 10.00 น. ถึง 21.00 น.
ข้อเท็จจริงคือ น้องเข้ามาทำผมอีกครั้งในวันที่ 16 มกราคม 2563 ซึ่งเป็นระยะเวลาห่างกันถึง 36 วัน โดยการเข้ามาครั้งนี้ น้องเข้ามาทำสีโคนผม โดยเข้ามาทำตั้งแต่เวลา 11.00 น. ถึง 17.34 น. น้องก็พึงพอใจ และ ได้อนุญาตให้ทางร้านถ่ายภาพเก็บไว้ตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนถึงขั้นตอนสุดท้าย
ประเด็นที่ 3
น้องให้สัมภาษณ์สื่อว่าคนที่อ้วน ๆ นั่งเคาน์เตอร์เป็นใครไม่รู้อยู่ดี ๆ ลุกขึ้นมาถามแล้วทำเลย
ข้อเท็จจริงคือ คนอ้วน ๆ ที่น้องพูดถึงคือช่างปุ้ยซึ่งมีประสบการณ์ประมาณ 12 ปี จบการศึกษาที่โรงเรียนสอนตัดเสื้อ-เสริมสวยนิรันดร์รัตน์ จบหลักสูตรเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2551 และช่างปุ้ยเป็นช่างคนเดียวกันกับที่ทำผมให้น้องครั้งแรก ซึ่งมีภาพถ่ายยืนยันว่าคุณเป๊กกี้และช่างปุ้ยได้ช่วยกันทำผมให้น้อง
ประเด็นที่ 4
วันที่ 29 มกราคม 2563 น้องส่งข้อความทาง IG แจ้งว่าสภาพผมแห้งมาก
ข้อเท็จจริงคือ เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2563 พี่เป๊กกี้รีบตอบกลับข้อความของน้องทาง IG และให้น้องเข้ามาทำทรีทเม้นท์ที่ร้าน ซักสองถึงสามรอบก็จะดีขึ้น แต่ถ้าไม่มีเวลามาก็จะส่งทรีทเม้นท์ไปให้ พร้อมกับขอที่อยู่ แต่น้องกลับเงียบหายไปเอง
ประเด็นที่ 5
ในวันที่ 18 มิถุนายน 2563 เป็นระยะเวลาห่างกันมาถึง 5 เดือนเศษ น้องถ่ายภาพผมสั้นลงใน Instagram แล้วแท็กมาที่รูปไอจีของร้านว่า เสียใจที่ตัดผม และเสียใจจากการฟอกทำสีผมที่ร้านย่านจอมทอง
ข้อเท็จจริงคือ ในวันดังกล่าวพี่เป๊กกี้ก็รีบส่งข้อความกลับและสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นพร้อมทั้งแสดงความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่สามารถตกลงกันได้
ประเด็นที่ 6
น้องเริ่มให้สัมภาษณ์สื่อในทางทำนองว่าไม่อยากพูดคุย ไม่อยากเห็นหน้า เพราะโกรธมาก จึงให้เพื่อนที่เป็นช่างผมร้านดังชื่อ เบิร์ด โทรมาหลายครั้ง แต่ทางร้านไม่ตอบรับ ไม่รับสาย
ข้อเท็จจริงคือ ทุกครั้งที่เพื่อนของน้องโทรมาใช้ถ้อยคำที่รุนแรง และหยาบคาย เป็นคำพูดที่ดูถูก พี่เป๊กกี้และช่างปุ้ย รวมถึงส่งข้อความเข้ามาในกระทู้ต่าง ๆ จากนั้นคุณเบิร์ดก็โทรมาด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย พี่เป๊กกี้จึงขอคุยกับน้อง แต่น้องบอกไม่พร้อมคุย ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 3 กรกฎาคม 2563 นั้น ตัวพี่เป๊กกี้ไม่ได้อยู่ที่ร้านโดยอยู่ที่โรงพยาบาลเฝ้าดูอาการของคุณแม่ตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2563 แล้ว มีหลักฐานยืนยันเป็นภาพใน Facebook ของพี่เป๊กกี้และของเพื่อน
ประเด็นที่ 7
ประเด็นข้อสงสัยของร้าน น้องขาดการติดต่อกับร้านไปถึง 5 เดือนเศษ โดยติดต่อครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2563 หลังจากนั้น ไม่เคยแจ้งร้านเลยว่าเกิดอะไรขึ้น หรือได้ไปรักษาอาการที่ไหน แพทย์วินิจฉัยว่าอาการผมร่วงเกิดจากอะไร หรือสารเคมีชนิดใด เป็นสารเคมีชนิดเดียวกับที่ร้านใช้หรือไม่ ซึ่งหากเป็นความผิดของร้าน ร้านยินดีรับผิดชอบ
-ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 ถึงเดือนพฤษภาคม 2563 น้องได้ถ่ายภาพลงใน Instagram และสังเกตุได้ว่า สีผมของน้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ใช้ชีวิตตามปกติ จึงมีข้อสงสัยว่าน้องไปทำสีผมที่ร้านอื่นเพิ่มเติมหรือไม่
-ในเดือนมกราคม 2563 น้องไปเที่ยวทะเล ซึ่งน้ำทะเล หรือน้ำสระ มีผลกระทบต่อเส้นผมอาจจะทำให้เส้นผมแห้งกร้านได้ ซึ่งทางร้านได้แนะนำข้อปฏิบัติให้กับน้องไปแล้วหลังจากที่ทำสีผมเสร็จ ดังนั้น น้ำทะเลหรือน้ำสระ น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำใ้ห้ผมน้องเสียหรือไม่
-คลิปที่ถ่ายในร้านถูกบันทึกเพียงบางส่วน และถูกเผยแพร่ออกไป ขาดในส่วนสำคัญตอนที่น้องกับเพื่อนเอะอะโวยวาย ทำไมจึงไม่นำคลิปทั้งหมดมาเผยแพร่
-โดยปกติอาการแพ้สารเคมี หรือ ผมร่วง จะแสดงอาการแสบร้อน มีผื่นแดง ผมร่วงขาด ภายใน 48 ชั่วโมง ซึ่งร้านได้ทดสอบกับผิวหนังของลูกค้าก่อนทุกครั้ง จึงผิดปกติวิสัย ทำไมอาการแพ้ถึงเกิดขึ้นหลังจากที่ทำสีผมมาแล้วห่างกันถึง 5 เดือน
จึงเรียนมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
พี่เป๊กกี้
เส้นผมซาลอน”
ทั้งนี้ชาวเน็ตและเพื่อนๆ พี่น้องช่างทำผมต่างก็เข้ามาแสดงความคิดเห็นกันและให้กำลังใจเจ้าของร้านกันมากมาย หลังได้เห็นข้อมูลดังกล่าว โดยคุณเป็กกี้ได้ให้สัมภาษณ์กับ Hairworld Plus+ เกี่ยวกับประเด็นในเรื่องนี้ว่า
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทางร้านได้รับผลกระทบอย่างไร?
“รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากๆ เพราะทางร้านเองก็ได้รับผลกระทบอย่างมาก เนื่องจากลูกค้าขาดความมั่นใจ ทำให้ลูกค้าลดน้อยลง”
อยากฝากถึงคนที่ติดตามข่าวนี้อย่างไรบ้าง?
“อยากให้รับฟังความทั้งสองฝั่ง รับฟังทั้งสองฝ่าย รับสื่อทั้งสองด้าน อย่าฟังความข้างเดียว”
อยากแนะนำร้านทำผมอื่นๆ ในการรับลูกค้าอย่างไรบ้าง?
“ในการทำเคมีก็อยากแนะนำให้ช่างทำผมด้วยกัน มีการเทสต์ก่อนทำ อาจจะมีการเทสต์เช็กสภาพเส้นผมก่อน แล้วก็อยากแนะนำเพื่อนๆ น้องๆ ช่างผมให้ถ่ายภาพ Before-After ในการทำผมแต่ละครั้ง เอาไว้ดูด้วยนะคะ แล้วก็ต้องเช็กสภาพผม และให้คำแนะนำกับลูกค้าอย่างชัดเจน รวมทั้งชี้แจงรายละเอียดต่างๆ ในการทำผม ทำสีด้วย เพื่อป้องกันไว้ว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์ที่เราไม่คาดคิดขึ้นมาได้นะคะ”
คุณเป๊กกี้ยังได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า “อยากให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี และไม่อยากฝากอะไรถึงคู่กรณีอีกแล้ว นอกจากนี้ ฝากขอบคุณพี่น้องช่างผมที่ให้กำลังใจพี่เป๊กกี้นะคะ”
จากเหตุการณ์นี้ Hairworld Plus+ ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกๆ ฝ่ายที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ด้วย และในการติดตามข่าวสารไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม อยากให้รับฟังและติดตามข้อมูลให้ครบทั้งสองด้านด้วยนะคะ เพื่อความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย และหวังว่าเรื่องที่เหตุการณ์ครั้งนี้จะจบลงด้วยดี