เหตุเกิดที่ เมืองสปริงฟิลด์ รัฐมิสซูรี ประเทศสหรัฐอเมริกา สาธารณสุขสหรัฐฯ ในรัฐมิสซูรีเผยว่า ได้ตรวจพบช่างทำผมจาก ร้านซาลอนแห่งหนึ่ง ป่วยเป็นโควิด-19 และแสดงอาการแล้ว แต่ยังคงทำงานต่อเนื่องถึง 8 วัน หลังป่วย โชคยังดีที่ช่างผมและลูกค้าสวมหน้ากากอนามัย เจ้าหน้าที่จากศูนย์อนามัย เร่งติดตามลูกค้าที่มาใช้บริการ 84 ราย และช่างทำผมอีก 7 ราย รวม 91 ราย ที่อยู่ในร้านทำการตรวจหาเชื้อกันยกใหญ่ ปัจจุบันได้ปิดร้านและทำความสะอาดฆ่าเชื้อแล้ว
ทั้งภายหลังมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 ที่อนุญาตให้ร้านทำผมกลับมาเปิดให้บริการได้เมื่อวันที่ 4 พ.ค. ที่ผ่านมา มีการตรวจพบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นหลายราย และเมื่อสอบสวนโรคย้อนกลับไปก็พบว่า มีความเกี่ยวข้องกับช่างทำผม 2 คน ที่เป็นผู้ป่วยแบบไม่แสดงอาการ
ในรัฐมิสซูรี ประเทศสหรัฐอเมริกา ยังคงอนุญาตให้ สถานที่ต่างๆ รวมถึงร้านทำผม ยังคงเปิดบริการตามปกติ ผู้ใช้บริการจะต้องคอยสังเกตอาการเอาเอง ว่าใครมีอาการอย่างไร หากสงสัยก็ต้องแยกกักตัวดูอาการ เพราะผู้นำของประเทศ เป็นห่วงว่าเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบ จึงไม่มีนโยบายชัตดาวน์เหมือนประเทศอื่นๆ และประชาชนในประเทศส่วนใหญ่ก็ไม่ยอมที่จะให้ความร่วมมือกับภาครัฐ ในการต้องกักตัวอยู่บ้าน หรือ ถูกชัตดาวน์ เพราะเขารู้สึกว่ามันเป็นการไปจำกัดสิทธิและอิสรภาพของพวกเขา และยังคงไม่ได้เห็นความสำคัญ ความน่ากลัวของโรค Covid-19
คนอเมริกันบางคน ยังมีค่านิยมเหยียดคนเอเชีย ต่อว่าและทำร้ายคนเอเชียที่อาศัยอยู่ใน ประเทศสหรัฐอเมริกา หาว่า “เป็นคนแพร่เชื้อ” อีกทั้งยังไม่ค่อยจะยอมใส่หน้ากาก เพราะคิดว่าคนใส่หน้ากากคือคนป่วย ทางด้านรัฐบาลเอง ก็ไม่ได้ออกมาย้ำเตือน หรือแนะนำให้ประชาชนทุกคน ต้องสวมหน้ากากแต่อย่างใด เน้นเพียงเรื่อง Social distancing เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไม ประเทศสหรัฐอเมริกา ถึงมีตัวเลขผู้ติดเชื้อเป็นอันดับหนึ่ง สูงที่สุดในโลก และยังไม่มีท่าทีจะลดลงเลย
ขอบคุณข้อมูลจาก : today.com